📃นิยาย ผนึกเทพบัลลังก์ราชัน1.5(Side Story) ตอนที่24 : เฮปเบิร์นได้รับบาดเจ็บ

#นิยายผนึกเทพ1.5

ผนึกเทพบัลลังก์ราชันย์ ภาค1.5 : ตำนานเทพผู้พิทักษ์สวรรค์ (Side Story)


ตอนที่ 24 เฮปเบิร์นได้รับบาดเจ็บ
__________________________________

ตี้หลัวเทียนรู้ดีว่า ภายใต้สถานการณ์ปกติเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของออกัสตินอย่างแน่นอน แต่มังกรทองของออกัสตินที่แยกออกมาจากสายเลือดของเขา ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง จากการต้านทานพายุแห่งจิตวิญญาณก่อนหน้านี้ และนี่เป็นโอกาสที่หายากสำหรับเขา

ตามความเห็นของตี้หลัวเทียน เพียงแค่เซอร์เบอรัสสองตัว ซึ่งเทียบเท่ากับการดำรงอยู่ของมนุษย์ที่แข็งแกร่งระดับเจ็ด ก็เพียงพอที่จะจัดการกับเฮปเบิร์นได้แล้ว

เซอร์เบอรัส มีคุณลักษณะสองประการคือความมืดและไฟ พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังมากในบรรดาสัตว์อัญเชิญในระดับเดียวกัน

ขณะนี้เฮปเบิร์นเคลื่อนไหวแล้ว เธอกระพือปีกที่ด้านหลังของเธอ และเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็วในระยะไกล พลางท่องคาถาอยู่ในปากอยู่ตลอดเวลา

ด้วยระยะทางที่ห่างออกไป ไม่เพียงแต่พลังของปืนใหญ่อัดอากาศ ที่ปล่อยโดยกบยักษ์จะลดลงเท่านั้น แต่ยังทำให้เขาสามารถ ล่าถอยได้อีกด้วย

เธอไม่ได้บินไปในระยะไกลโดยตรง แต่บินไปทางซ้ายทีขวาที และปีกเปลวไฟของเธอก็กระพือปีกด้วยความเร็วที่ไม่ช้าจนเกินไป

อย่างไรก็ตาม เซอร์เบอรัสสองตัวนั้นเร็วกว่า ด้วยเท้าเปลวไฟที่เหยียบย่ำอยู่กลางอากาศ ในไม่ช้า พวกมันก็ไล่ตามเฮปเบิร์นทัน

แต่เนื่องจากเฮปเบิร์นบินไปทางซ้ายทีขวาที เซอร์เบอรัสสองตัวนี้ที่วิ่งขนานกันไปก่อนหน้านี้ เนื่องจากการเปลี่ยนทิศทาง ในขณะนี้พวกมันจึงอยู่ในลักษณะ ตัวหนึ่งอยู่หน้า และตัวหนึ่งอยู่ข้างหลัง ระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายก็สั้นลงอย่างรวดเร็ว

เมื่อดูการต่อสู้อยู่ด้านล่าง ข้าก็อดที่จะรู้สึกกังวลไม่ได้ มีเพียงข้าเท่านั้นที่เข้าใจว่าเฮปเบิร์นกำลังทำอะไรอยู่ และด้วยเหตุนี้ ข้าจึงไม่ได้หยุดเธอ

การฝึกฝนต่อสู้ตามปกติของเธอส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายรับการโจมตีจากข้า ดังนั้นข้าจึงรู้ดีถึงความสามารถในการต่อสู้จริงของผู้หญิงคนนี้ ที่เต็มไปด้วยคำโกหกและเจ้าเล่ห์มาก

ในแง่ของการฝึกฝน เธอไม่ได้โดดเด่น แต่ในแง่ของไหวพริบเธอมีอย่างแน่นอน แม้ว่าข้าจะเคยถูกเธอหลอกมาก่อนก็ตาม ถ้าเธอไม่แกล้งทำสิ่งเหล่านี้ ดูเหมือนความงามของเธอจะน้อยลง ข้าคงจะ...

ในอากาศ เซอร์เบอรัสสองตัวอยู่ห่างจากเฮปเบิร์นไม่ถึงสิบเมตรแล้ว และเปลวไฟนรกที่ลุกโชนยังทำให้โล่วิญญาณอัคคีบนร่างกายของเธอเริ่มสั่นสะท้าน

ในขณะนี้ คาถาที่เฮปเบิร์นร่ายตั้งแต่ต้นก็มาถึงจุดสิ้นสุดในฉับพลัน และเธอซึ่งกำลังล่าถอยอย่างรวดเร็วก็หยุดบินทันที

ด้านหลังเฮปเบิร์น จู่ๆ ก็ปรากฏแสงและเงาสีแดงเข้ม เห็นได้ชัดว่ามีรูปร่างเหมือนมนุษย์ แต่มีขนาดใหญ่มาก สูงมากกว่าสิบเมตร เปล่งรัศมีอันสง่างาม ธาตุไฟในอากาศดูเหมือนกับแม่น้ำทุกสายที่ไหลกลับสู่ทะเล แทบจะในทันทีรวมตัวเข้าหาร่างเงาใหญ่โตนั้น

ร่างของเฮปเบิร์นหยุดนิ่งกลางอากาศ และเซอร์เบอรัสที่วิ่งไปข้างหน้าก็ชนเข้ากับเธอ มันอ้าปากกว้าง และกัดโล่วิญญาณอัคคี ด้วยการกัดเพียงครั้งเดียว ก็ฉีกโล่วิญญาณอัคคีออกเป็นชิ้นๆ

เฮปเบิร์น จะถูกมันกลืนลงไปเหรอ?

ในเวลานี้ มือขวาของเธอถูกยกขึ้น และนิ้วของเธอชี้ไปข้างหน้า แสงและเงาขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังของเธอก็เคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน

ในระยะไกล ตี้หลัวเทียนซึ่งกำลังคิดที่จะท้าทายออกัสตินในภายหลัง และเป็นผู้ชนะสุดท้ายของการแข่งขันในวันนี้ จู่ๆ ก็ได้สติขึ้นมา เงยหน้าขึ้นและมองไปในทิศทางของสนามรบ

เซอร์เบอรัสตัวแรกอ้าปากใหญ่และกำลังจะกัดเฮปเบิร์น แต่ทันใดนั้นมันก็ตัวแข็งอยู่ต่อหน้าเธอ ในขณะที่เซอร์เบอรัสอีกตัว ซึ่งตามหลังเซอร์เบอรัสตัวแรก และเกือบจะพุ่งไปข้างหน้า แต่ทันใดนั้นก็มีแสงสีแดงทองเล็กๆ กระพริบผ่านที่ด้านหลังหัวของเซอร์เบอรัสตัวแรก

จากนั้น เซอร์เบอรัสที่อยู่ด้านหลังซึ่งไม่ทันได้ระวัง แสงสีแดงทองเล็กๆ นั้นก็กระทบกับหัวของมันแล้ว ดังนั้นเซอร์เบอรัสตัวที่สองก็นิ่งเฉยไปเช่นกัน

เวทมนตร์ระดับเจ็ด ธาตุไฟ ‘ดัชนีเทพอัคคี’

เฮปเบิร์นซึ่งมีการฝึกฝนอยู่ที่จุดสูงสุดของระดับที่ห้าและยังไม่ได้เข้าสู่ระดับที่หก อาศัยการร่ายคาถา อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานของเธอ ควบคู่ไปกับธาตุไฟที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง รอบๆ หอคอยแห่งพระเจ้า เพื่อร่ายเวทย์ไฟระดับที่เจ็ด นี่นับว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว นอกจากนี้ เธอยังใช้เวทย์มนตร์เดี่ยวที่ทรงพลังที่สุดของระบบไฟ เพื่อสังหารเซอร์เบอรัสระดับแปดสองตัวได้ในทันที

แม้ว่าระดับพลังยุทธ์ของเธอจะด้อยกว่าคู่ต่อสู้มาก และแม้ว่าจะไม่มีใครคาดหวังกับเธอมาก่อน แต่ในขณะนี้ เธอได้เปล่งประกายด้วยแสงของเธอเอง ในขณะที่ดัชนีเทพอัคคี ถูกปลดปล่อยออกมา เธอก็ได้ทะลุผ่านคอขวดระดับที่ห้า และก้าวไปสู่การเป็น มหาจอมเวท ระดับที่หก

เซอร์เบอรัสตัวใหญ่สองตัว ตัวแข็งทื่อ กลางอากาศ ชั่วครู่หนึ่ง เปลวไฟบนร่างของพวกมันก็สลายไปทันที และร่างอันใหญ่โตของพวกมันก็ล้มลง

เวลานี้ เฮปเบิร์นมีความรู้สึกภาคภูมิใจมาก ด้วยระดับการฝึกฝน ระดับที่5 ขั้นสูงสุด เธอได้สังหารสัตว์อสูร ระดับแปด สองตัวด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว และก้าวไปสู่ มหาจอมเเวท ระดับที่หกได้

เธอได้ใช้ทั้งสติปัญญา และความพยายามอย่างหนัก เพื่อทำให้เธอประสบผลสำเร็จดังที่หวัง แม้แต่ข้าก็คิดไม่ถึง ว่าเธอจะใช้องค์ประกอบเวทย์มนตร์อันเข้มข้นที่ควบแน่นจากหอคอยแห่งพระเจ้า เพื่อทำให้ตัวเองสามารถเลื่อนขั้นได้อย่างรวดเร็ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้

เซอร์เบอรัสสองตัวได้ล้มลงแล้ว บนใบหน้าของเฮปเบิร์นก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เมื่อผู้ฝึกฝนก้าวไปสู่ระดับที่หก ปีกเปลวไฟที่หลังของเธอก็ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย แสดงถึงลักษณะของระดับที่หก

ริมฝีปากสีแดงของเธอเปิดออกเล็กน้อย และมองไปที่ตี้หลัวเทียนในระยะไกลด้วยรอยยิ้ม : "ฉันยอมรับ..." เมื่อเห็นรอยยิ้มของเธอจากด้านล่าง ข้าก็รู้แล้วว่าเธอกำลังจะทำอะไร ในเมื่อบรรลุเป้าหมายแล้ว และเธอก็รู้ตัวว่าไม่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ ดังนั้นเธอจึงต้องการยอมรับความพ่ายแพ้โดยตรง

การฆ่าเซอร์เบอรัสสองตัวของคู่ต่อสู้ ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ก็นับว่าเธอประสบความสำเร็จแล้ว และผลลัพธ์ของเธอในการประลองนี้ไม่ได้น่าอายเลย นี่นับว่าเป็นตอนจบที่สมบูรณ์แบบที่สุด

ในตอนนี้ข้าจึงผ่อนคลาย และอดชื่นชมเธอจากก้นบึ้งของหัวใจไม่ได้ เจ้าเล่ห์จริงๆ!

อย่างไรก็ตาม จู่ๆ ก็มีเสียงคำรามแหลมคมดังขึ้น ขัดจังหวะคำพูดของเฮปเบิร์น ท้องฟ้าทั้งมวลก็มืดลง และแม้แต่ข้ายังไม่ทันได้โต้ตอบ ก็มีร่างใหญ่ปรากฏขึ้นแล้ว

เสียงกรีดร้องนั้นทำให้ร่างกายของเฮปเบิร์นสั่นสะเทือน และเธอก็ตกลงมาจากอากาศโดยตรง การโจมตีวิญญาณ! นี่เป็นการเจาะจิตวิญญาณที่ทรงพลังมาก! เธอกำลังจะยอมแพ้!

ในกลางอากาศ งูสามหัวขนาดใหญ่ที่มีความยาวมากกว่า 30 เมตร ปรากฏออกมา ตัวที่กรีดร้องคือตัวที่อยู่ตรงกลาง โดยมีตี้หลัวเทียนนั่งอยู่บนหลังของมัน

"ไอ้สารเลว!"

เมื่อเฮปเบิร์นตกลงมาจากท้องฟ้า ข้ารู้สึกเหมือนเลือดในร่างกายกำลังจะแข็งตัว ข้าไม่เคยคาดหวังว่าผู้ชายที่ชื่อตี้หลัวเทียน จะทำการโจมตีภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มันเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับเขา ที่จะไม่เห็นว่าเฮปเบิร์นกำลังจะยอมแพ้ ท้ายที่สุดแล้ว ดัชนีเทพอัคคี ก็ได้ผลาญพลังทั้งหมดของเธอไปแล้ว

ไอ้สารเลว!

งูสามหัวตัวใหญ่บิดตัวไปมา กลางอากาศ ทั้งตัวของมันเปล่งแสงสีเขียว และพ่นแสงสีเขียวออกมาทางเฮปเบิร์น แม้แต่ร่างกายของเธอ ที่สูญเสียแรงจะตอบโต้ไปโดยสิ้นเชิงก็ไม่ละเว้น

ตอนที่ร่างของเฮปเบิร์นล้มลง ข้าก็รีบออกไปแล้ว ในขณะนี้ ข้าไม่สนใจแล้วว่านี่คือสถานที่แบบไหน อารมณ์ที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน ได้แล่นเข้ามาในหัวใจของข้า ซึ่งดูเหมือนเป็นความกลัวและความตื่นตระหนก ความรู้สึกตื่นตระหนกที่รุนแรง ทำให้ข้ารู้สึกราวกับกำลังจะสูญเสียเธอไป

ทันใดนั้นข้าก็ทะยานขึ้นไปในอากาศ ข้าส่งเสียงคำรามออกมา เพื่อทำให้คู่ต่อสู้หยุดโจมตี

ในขณะนี้ แสงสีม่วงทองอันเจิดจ้าเปล่งออกมาจากร่างกายของข้า ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของการแปลงร่างเป็นคิเมียรา ข้าแทบจะไม่สามารถระงับแรงกระตุ้นภายในตัวและบังคับตัวเองไม่ให้กลายเป็นคิเมียราได้ ในเวลานี้ ข้ายังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นได้

และเมื่อข้าคำราม ร่างของงูสามหัวก็สั่นเทิ้มอย่างรุนแรง และแสงสีฟ้าในอากาศก็หายไปด้วย

ข้าใช้แรงทั้งหมดเพื่อบิน ในครู่ต่อมา ข้าก็จับเฮปเบิร์นขึ้นไปในอากาศ

โดยไม่สนใจผู้ชายคนนั้นบนท้องฟ้า ข้าก็รีบมองไปที่เฮปเบิร์น ปากและจมูกของเฮปเบิร์นเต็มไปด้วยเลือด ใบหน้าของเธอก็ซีดราวกับกระดาษ

จิตสำนึกของข้าทะลุเข้าไปในทะเลวิญญาณของเธอทันที เวลานี้ ทะเลวิญญาณของเธอแตกสลายทำให้เธอมีความผิดปกติทางจิตอย่างมาก โชคดีที่เธอเพิ่งทะลุไปถึงระดับที่หก และทะเลจิตวิญญาณของเธอยังคงค่อนข้างมั่นคง ไม่เช่นนั้น เมื่อทะเลวิญญาณของเธอพังทลายลงอย่างสมบูรณ์ภายใต้การเจาะจิตวิญญาณ เธอก็ตายจริงๆ

ข้าใช้จิตสำนึกของข้า เพื่อรักษาเสถียรภาพของทะเลวิญญาณของเธอ และซ่อมแซมรอยแตกอย่างระมัดระวัง แต่ถึงกระนั้น ทะเลจิตวิญญาณของเธอก็บอบช้ำอย่างมากในครั้งนี้ และการสูญเสียพลังทางจิตวิญญาณ ย่อมส่งผลให้การฝึกฝนของเธอลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเป็นไปได้ด้วยซ้ำ ว่าระดับการฝึกฝนของเธออาจจะตกจากระดับที่หก ที่เธอเพิ่งก้าวถึง กลับไปสู่ระดับที่ห้า

ก่อนหน้า | สารบัญ | ตอนถัดไป

Share:

📃นิยาย ผนึกเทพบัลลังก์ราชัน1.5(Side Story) ตอนที่23 : เฮปเบิร์นปะทะตี้หลัวเทียน

#นิยายผนึกเทพ1.5

ผนึกเทพบัลลังก์ราชันย์ ภาค1.5 : ตำนานเทพผู้พิทักษ์สวรรค์ (Side Story)


ตอนที่23 เฮปเบิร์นปะทะตี้หลัวเทียน
__________________________________

ในบรรดาจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามนั้น จักรวรรดิออตโตมันถือว่ามีอำนาจมากที่สุด ส่วนออกัสติน ในภายภาคหน้านั้น เขาจะกลายเป็นผู้ดำรงอยู่ในระดับกึ่งเทพ และจะกลายเป็นจักรพรรดิได้อย่างแน่นอน

สิ่งที่ทรงพลังที่สุดเกี่ยวกับอารมณ์จิตวิญญาณก็คือ เมื่อคุณตกหลุมรักแล้ว คุณจะไม่มีวันถอนตัวได้จนกว่าจะตาย และจะมีเพียงคู่ครองเพียงคนเดียวเท่านั้น จะมีอะไรอีกที่จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายใกล้ชิดสนิทสนมกันมากไปกว่าการแต่งงาน?

ดังนั้นพายุจิตวิญญาณที่อินาใช้ก่อนหน้านี้ ไม่เพียงแต่ต้องการเอาชนะคู่ต่อสู้เท่านั้น แต่ประเด็นที่สำคัญกว่านั้นคือ เพื่อปลูกฝังอารมณ์จิตวิญญาณไว้กับฝ่ายตรงข้าม เพื่อประโยชน์ของจักรวรรดิ อินาจึงได้ตัดสินใจเลือกทำเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เธอไม่ได้รังเกียจ ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและความแข็งแกร่งของออกัสติน

อารมณ์จิตวิญญาณจะเปราะบางมาก ในช่วงแรกของการปลูกฝัง และต้องการเวลาช่วงหนึ่งเพื่อซึมซับผลของมันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แม้ถังหลิงจะรู้ว่าเฮปเบิร์น นักเวทที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตี้หลัวเทียน แต่เธอก็ไม่ได้คัดค้าน และปล่อยให้การแข่งขันดำเนินต่อไป

ตราบใดที่การประลองยังดำเนินต่อไป ความสนใจของผู้แข็งแกร่งทั้งสองฝ่าย ก็จะจดจ่อ อยู่กับการประลอง และคงจะไม่มีใครสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับออกัสติน ท้ายที่สุดแล้ว หากคุณต้องการค้นพบอารมณ์จิตวิญญาณ ก็จำเป็นต้องทำการสำรวจอย่างครอบคลุมด้วยจิตสำนึกทางจิตวิญญาณอันทรงพลัง และต้องกระทำภายในช่วงเวลาหลังจากที่ออกัสตินถูกปลูกฝังอารมณ์จิตวิญญาณไม่นาน ก่อนที่ร่างกายของออกัสตินจะ ดูดซับจนสมบูรณ์

ขณะที่ถังหลิงพูดว่า "เริ่มต้น" การต่อสู้ก็ได้เริ่มต้นขึ้นทันที

ปฏิกิริยาของเฮปเบิร์นรวดเร็วมาก เธอชี้ไม้กายสิทธิ์ในมือไปข้างหน้า และทันใดนั้น ลูกไฟขนาดใหญ่ก็ถูกควบแน่นและก่อตัวขึ้น นี่ไม่ใช่ลูกไฟระดับหนึ่งธรรมดา แต่เป็นลูกไฟระดับสาม ขนาดใหญ่ที่มีเอฟเฟกต์การระเบิด ดังนั้นจึงเรียกว่าลูกไฟระเบิด

แน่นอนว่าการร่ายเวทย์มนตร์นั้นไม่มีอะไรแน่นอน แต่ปัญหาคือมันเกิดขึ้นทันที

ภายใต้สถานการณ์ปกติ หากคุณต้องการร่ายลูกไฟระเบิดระดับสามได้ในทันที คุณต้องมีความแข็งแกร่งระดับหก หรือแม้กระทั่งระดับเจ็ดเป็นอย่างน้อย เหตุผลที่เฮปเบิร์นสามารถทำได้ ก็เนื่องมาจากคำแนะนำของข้า

แม้ว่าเธอจะไม่สามารถควบคุมองค์ประกอบทั้งหมดโดยที่ไม่ต้องร่ายคาถาเลยเหมือนกับข้า แต่อย่างน้อยก็ยังมีคาถาบางอย่างที่สามารถทำได้ ลูกไฟที่ระเบิดออกมานั้นถือว่าทรงพลังมากในบรรดาเวทย์มนตร์ระดับที่สาม และเหมาะที่จะใช้โจมตี

ลูกไฟระเบิดระดับสามที่ถูกปล่อยในทันที ระหว่างเคลื่อนไปก็ขยายใหญ่ขึ้น และเนื่องจากหอคอยเทพเข้า ที่ดึงเอาธาตุเวทย์มนตร์ต่างๆ มาก่อนหน้านี้ ดังนั้นเมื่อเฮปเบิร์นเริ่มโจมตี เธอจึงรู้สึกได้ทันทีว่าเวทย์มนตร์เดียวกันนี้ แต่ถูกร่ายอยู่ที่นี่ เห็นได้ชัดเจนว่ามีพลังมากกว่าตอนที่เธอร่ายมันในครั้งแรกเสียอีก แม้แต่การรับรู้ถึงธาตุไฟของเธอ ก็ยังคมชัดขึ้นด้วย เวลานี้เธอได้แตะขีดจำกัด ใกล้ที่จะทะลวงผ่าน อย่างคลุมเครือแล้ว

ลูกบอลคริสตัลทั้งหกรอบร่างของตี้หลัวเทียน บานสะพรั่งพร้อมกัน แต่ละลูกฉายแสงออกมา และปรากฏเป็นรูปดาวหกแฉกต่อหน้าเขาในทันที

เสียงคำรามลึกดังขึ้น จากนั้นร่างใหญ่ก็ ปรากฏออกมาจากดาวหกแฉก ในเวลาเดียวกัน เขาเริ่มท่องคาถาด้วยเสียงทุ้มต่ำ จู่ๆ คลื่นที่บิดเบี้ยวก็เริ่มปรากฏขึ้นบริเวณรอบๆ ตัวของเขา

สิ่งที่โผล่ออกมาจากดาวหกแฉกนั้นเป็นคางคกตัวใหญ่ สูงมากกว่าสามเมตร ลำตัวของมันเป็นสีดำสนิด และมีลวดลายสีเขียวที่ด้านหลัง ทันที ที่มันอ้าปาก ก็ดูดกลืนลูกไฟระเบิดซึ่งบินเข้ามาหามัน เข้าไปในปากโดยตรง ครู่ต่อมา ร่างกายที่อวบอ้วนของมันก็สั่นเทิ้ม และมีกระแสลมจางๆ ไหลไปทั่วร่างกาย และก็นั่นแหละ มันได้คลี่คลายการโจมตีของเฮปเบิร์นได้ง่ายๆเช่นนั้น

นี่เป็นครั้งแรกที่เฮปเบิร์นเผชิญหน้ากับผู้อัญเชิญ เมื่อมองดูคางคกตัวใหญ่ที่อยู่ตรงข้าม ของเธอ ก็อดตกใจไม่ได้ เธอรีบเปิดใช้ทักษะโล่ธาตุไฟไว้ข้างหน้าของตัวเองทันที

เกือบจะในเวลาเดียวกันกับที่โล่ธาตุไฟของเธอปรากฏขึ้น คางคกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็เปิดปากอีกครั้ง และจู่ๆ ก็มีมวลอากาศที่มองไม่เห็นพุ่งออกมา

ปฏิกิริยาของเฮปเบิร์นยังคงรวดเร็วมาก ความรู้สึกถึงวิกฤตขั้นรุนแรง ทำให้เธอตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เธอจึงได้ใช้โล่ป้องกันธาตุไฟอีกสามชั้นไว้ข้างหน้าตัวเธออย่างรวดเร็ว แต่ละชั้นของโล่ธาตุไฟจะทับซ้อนเข้ากับชั้นก่อนหน้าอย่างรวดเร็ว และการซ้อนทับกันในช่วงเวลาสั้นๆ ทำให้โล่ธาตุไฟเปลี่ยนไปในเชิงคุณภาพ และกลายเป็นโล่เปลวไฟขนาดใหญ่ - โล่วิญญาณอัคคี!

โล่วิญญาณอัคคี! เป็นเวทย์ไฟระดับที่ห้า ซึ่งเป็นเวทย์ป้องกันที่ค่อนข้างหายากในบรรดาเวทย์ไฟ เมื่อเฮปเบิร์นใช้โล่วิญญาณอัคคี แม้แต่เทพมนตรา ก็ยังอดประหลาดใจไม่ได้

เวทมนตร์ระดับห้าทั่วไป ไม่คู่ควรที่จะทำให้พวกเขาเกิดความประหลาดใจได้ แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจก็คือ โล่วิญญาณอัคคีที่เฮปเบิร์นใช้ออกมานั้น มันเกิดจากการซ้อนทับของโล่ธาตุไฟระดับสาม จำนวนสี่ชั้น

ในความเป็นจริง การใช้พลังงานในการทำเช่นนี้ ไม่น้อยไปกว่าการร่ายโล่วิญญาณอัคคีระดับที่ห้าโดยตรง แต่ที่สำคัญก็คือ โล่ธาตุไฟทั้งสี่ ที่ซ้อนทับกันนั้น มันเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงปริมาณ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ นี่เป็นเทคนิคที่แนบเนียน และต้องมีทักษะอยู่ในระดับสูงมาก

ด้วยการซ้อนทับของเวทมนตร์ระดับต่ำที่ปลดปล่อยในฉับพลัน ทำให้เกิดเป็นเวทมนตร์ระดับสูง แม้แต่นักเวทระดับสูงบางคนก็อาจไม่สามารถทำได้ นี่เป็นทิศทางสำคัญในการศึกษาและพัฒนาของหอคอยเทพเจ้า แต่คาดไม่ถึงว่าในเวลานี้ มันถูกใช้ออกมาโดยนักเวทจากเมืองดีฌง

เมื่อเฮปเบิร์นสมัครเข้าร่วมการแข่งขัน ทุกคนในที่นี้ก็เห็นชัดว่าความแข็งแกร่งของเธอไม่เพียงพอที่จะเข้าร่วม ในการแข่งขันระดับชาติ แต่ในขณะนี้ การรับรู้และการใช้เวทมนตร์ที่เฮปเบิร์นแสดงออกมา ทำให้ผู้แข็งแกร่งหลายคนประหลาดใจ เป็นไปได้ไหมว่าเด็กผู้หญิงคนนี้ ซึ่งดูเหมือนจะมีความแข็งแกร่งประมาณระดับที่หก จะมีทักษะพิเศษบางอย่างจริงๆ?

มีเสียง "ปัง" อู้อี้ ปืนใหญ่อัดอากาศ ระเบิดบนโล่วิญญาณอัคคี และร่างของเฮปเบิร์นก็ถูกผลัก กระเด็นออกไปไกล มากกว่าสิบเมตร แต่ในที่สุดเธอก็ยังรักษาโล่วิญญาณอัคคีเอาไว้ได้ โดยที่มันไม่ได้บุบสลาย

แน่นอน ข้าเป็นคนสอนเธอถึงทักษะการผสานเวทย์มนตร์ระดับต่ำให้เป็นเวทย์มนตร์ระดับสูงในทันที!

มีใครอีกบ้างนอกจากออสติน กริฟฟินผู้ยิ่งใหญ่ จะสามารถคิดไอเดียที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ได้? แน่นอนว่าการซ้อนทับแบบนี้ก็มีข้อเสียเช่นกัน นั่นคือเวทมนตร์ระดับสูงที่ต้องถูกปล่อยออกมาในท้ายที่สุด จะต้องไม่เกินระดับการฝึกฝนของตัวเอง

เฮปเบิร์นตกเป็นเป้าหมายอย่างรวดเร็ว และในอีกด้านหนึ่ง การร่ายคาถาของตี้หลัวเทียนก็สิ้นสุดลงแล้ว ในทั้งสองด้านของเขา ประตูแสงที่ผันผวนเปิดออกทั้งสองด้าน ครู่ต่อมา มีร่างสองร่างโผล่ออกมาจากประตู พวกมันเป็นสุนัขตัวใหญ่สองตัว พวกมันมีความยาวประมาณห้าเมตร ร่างกายของพวกมันกำลังลุกโชนด้วยเปลวไฟสีเขียว ลำตัวของพวกมันเป็นสีม่วงดำ หัวที่ดุร้ายของพวกมันมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ เมื่อมันอ้าปากก็เผยให้เห็นถึงเขี้ยวที่แหลมคม

เซอร์เบอรัส! เป็นสัตว์ประหลาดระดับแปดที่น่าสะพรึงกลัว พวกมันเทียบเท่ากับมนุษย์ที่แข็งแกร่งระดับเจ็ด

ทันทีที่เซอร์เบอรัส สองตัวนี้ปรากฏตัวขึ้น เฮปเบิร์นที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็หน้าซีดแล้ว ส่วนใหญ่เป็นเพราะเธอตกใจเล็กน้อย กับรูปลักษณ์ที่ดุร้ายของเซอร์เบอรัส แต่เธอไม่ได้ยอมรับความพ่ายแพ้ง่ายๆ และปากของเธอก็ยังไม่หยุดร่ายคาถา

พูดให้ถูกก็คือ เมื่อเธอใช้โล่ธาตุไฟระดับต่ำ เธอก็ได้เริ่มร่ายคาถาอื่นแล้ว การร่ายเวทย์มนตร์ทันทีและร่ายคาถาเวทย์มนตร์อื่นๆ ในเวลาเดียวกัน ก็เป็นเทคนิคขั้นสูงเช่นกัน และความสามารถทั้งหมดที่เธอมีในขณะนี้ อยู่ภายใต้การแนะนำของข้านั่นเอง

เซอร์เบอรัสสองตัวส่งเสียงคำราม และเร่งความเร็วขึ้นพร้อมกัน เหยียบย่ำเปลวเพลิงในอากาศแล้วตรงเข้าไปหาเฮปเบิร์นทันที คางคกก่อนหน้านี้ยังคงพ่นปืนใหญ่อัดอากาศ โจมตีเฮปเบิร์นครั้งแล้วครั้งเล่า ส่งผลกระทบต่อโล่วิญญาณอัคคีของเธออย่างต่อเนื่อง

หลังจากที่ตี้หลัวเทียนพยายามโจมตีหลายครั้ง เขาก็ได้สรุปได้แล้วว่า ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลย มันสมเหตุสมผลหรือไม่สำหรับเขาและออกัสตินที่จะมาในนามของทั้งสองจักรวรรดิในครั้งนี้ ออกัสตินมีความแข็งแกร่งถึงระดับแปดขั้นกลางแล้ว และเขาเองก็เข้าสู่ระดับแปดแล้วเช่นกัน ในแง่ของพลังฝึกฝน พวกเขาทั้งคู่ มีระดับเหนือกว่าทั้งเจ้าหญิงอินาที่เผชิญหน้ากับออกัสตินก่อนหน้านี้

แม้ว่าหญิงสาวตรงหน้าเขาจะควบคุมเวทมนตร์ ธาตุไฟได้ดี แต่ระดับการฝึกฝนของเธอก็ยังอยู่เพียงระดับหกเท่านั้น ช่องว่างขนาดใหญ่ของระดับการฝึกฝน ประกอบกับภูมิหลังของเขาเอง ทำให้เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับอีกฝ่ายมากนัก

สิ่งที่ตี้หลัวเทียนต้องการในเวลานี้คือ หลังจากเอาชนะเฮปเบิร์นแล้ว เขาจะท้าทายผู้ชนะในคู่ที่แล้ว แม้ว่าออกัสตินและเขาจะเป็นพันธมิตรชั่วคราว เพื่อมาเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ แต่ในระหว่างการประลองนี้ หากเขาซึ่งเป็นตัวแทนของจักรวรรดิกุสตา สามารถเอาชนะออกัสตินได้อีกครั้ง ชื่อเสียงของเขาก็จะเลื่องลือไปบนแผ่นดินใหญ่ และกลายเป็นวีรบุรุษของจักรวรรดิกุสตาได้อย่างแน่นอน


Share:

📃นิยาย ผนึกเทพบัลลังก์ราชัน1.5(Side Story) ตอนที่22 : อารมณ์จิตวิญญาณ

#นิยายผนึกเทพ1.5

ผนึกเทพบัลลังก์ราชันย์ ภาค1.5 : ตำนานเทพผู้พิทักษ์สวรรค์ (Side Story)


ตอนที่22 อารมณ์จิตวิญญาณ
__________________________________

ทะเลแห่งจิตวิญญาณของออกัสตินกำลังได้รับผลกระทบอย่างน่าสยดสยอง จากพลังทางจิตวิญญาณของนักเวทมังกร และโลกแห่งจิตวิญญาณของเขากำลังล่มสลาย

ทันใดนั้น เสียงคำรามของมังกรก็ดังขึ้น

มังกรทองและออกัสติน ก็กลายเป็นร่างเดียวกันเช่นกัน เมื่อพลังจิตของออกัสตินได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง พวกเขาก็จะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงเช่นกัน แต่ในขณะนี้ พลังงานและความผันผวนของสายเลือดมังกรทองก็เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ฉากที่น่าสะพรึงกลัวได้เกิดขึ้น หัวใหญ่ที่สั่นเทาของมันได้แยกออกเป็นสามหัวทันที ถึงแม้ว่าอีกสองหัวจะดูเลือนลาง แต่ในขณะนี้ มังกรทองก็กลายเป็นมังกรทองสามหัวแล้ว

ทันใดนั้นศีรษะของออกัสตินก็เปล่งแสงสีทองเจิดจ้า ราวกับว่ามีดวงอาทิตย์สีทองอยู่เหนือคอของเขา แทนที่จะเป็นศีรษะของเขาเอง

เจ้าหญิงอินาถอยหลังไปหนึ่งก้าวและ ตะโกนออกมาว่า

“มังกรทองสามหัวเหรอ? มังกรทองตัวนี้มีสายเลือดของบรรพบุรุษโบราณจริงๆ เหรอ?” ผู้แข็งแกร่งระดับสูงทั้งหมดในบริเวณนั้นต่างก็ตกตะลึง

เหตุการณ์นี้น่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ

การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วมาก ตั้งแต่ออกัสตินครองความได้เปรียบ และต่อมาเจ้าหญิงอินาก็ตอบโต้ด้วยพลังทางจิต มาจนถึงมังกรทองสามหัวที่ระเบิดพลังวิญญาณอันทรงพลังออกมา เพื่อช่วยให้ออกัสติน พลิกสถานการณ์กลับมาได้อีกครั้ง การพลิกกลับไป กลับมาทำให้ผู้คนที่เฝ้าดูรู้สึกนั่งไม่ติด

และหลังจากที่มังกรทองส่งเสียงคำราม หัวภาพลวงตาทั้งสองของมันก็หายไปอย่างรวดเร็ว และร่างอันใหญ่โตของมันก็ดูอ่อนแรง และตกลงสู่พื้นโดยตรง ดูเหมือนว่ามันจะสูญเสียพลังในการบินไปแล้ว

แสงสีทองบนศีรษะของออกัสตินค่อยๆ มาบรรจบกัน เผยให้เห็นรูปลักษณ์ดั้งเดิมของเขา

ในเวลานี้ หมวกของเขาแตกและหายไปแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาของเขาซีดมาก มีเลือดที่ปากและจมูกของเขา และแม้แต่ดวงตาของเขาก็ดูมึนงงเล็กน้อย

เจ้าหญิงอินาก็หน้าซีดเช่นกัน และจำเป็นต้องพึ่งพาไม้กายสิทธิ์ในมือ เพื่อช่วยพยุงร่างกายไม่ให้ล้มลง

“เจ้าชนะ” เจ้าหญิงอินา มองดูออกัสตินแล้วพูดด้วยท่าทางที่ค่อนข้างซับซ้อน

ออกัสตินยังไม่ฟื้นคืนสติในเวลานี้ จนกระทั่งมังกรทองล้มลงบนพื้น มือของเขาที่ถือดาบหนักก็สั่นเล็กน้อย และมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในดวงตาของเขาเมื่อมองไปที่อินา

แสงสีเงินตกลงมาจากท้องฟ้า ม้วนตัวของอินา ทำให้เธอหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

ด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่ออกัสตินรู้สึกสูญเสีย เมื่อมองดูอินาที่หายตัวไป

“ในเกมแรก ฝ่าบาท ออกัสตินเป็นผู้ชนะ”

เจ้าหญิงอินา รุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิสมัน ก็พ่ายแพ้ไปเช่นนี้ แต่สิ่งที่ทำให้อัศวินมังกรคราม เยี่ยฮ่าวหานรู้สึกแปลกใจก็คือ เทพมิติถังหลิง ที่อยู่ตรงข้ามกับเขา กลับมีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏบนใบหน้าของเธอ ลูกศิษย์ของเธอพึ่งจะพ่ายแพ้ไป และนั่นยังหมายถึงความพ่ายแพ้ของจักรวรรดิสมัน แล้วทำไมเธอยังหัวเราะได้อีก?

“เริ่มต่อได้” ถังหลิงพูดอย่างสงบ

ออกัสตินพามังกรทองกลับมา และเดินโงนเงนออกมาจากกลางจัตุรัส ก่อนที่อัศวินมังกรจะมาช่วยพยุงเขาออกไป

ในเวลานี้ข้าเริ่มรู้สึกเป็นกังวล

“อย่าลืม ยอมรับความพ่ายแพ้แทนฉัน เฉพาะเมื่อฉันมีอันตรายจริงๆ เท่านั้น” เฮปเบิร์นบีบที่แก้มของข้าแล้วเดินออกไป

ข้าอยากจะหยุดเธอจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าทำไม ข้าก็ไม่เต็มใจที่จะขัดต่อความปรารถนาของเธอมากนัก

จริงๆ เลยนะ ผู้หญิงคนนี้

ตี้หลัวเทียน ซึ่งมาจากจักรวรรดิกุสตา เขามีใบหน้าที่เย็นชา ค่อยๆ เดินออกมา และเดินไปหาเฮปเบิร์น

เฮปเบิร์นมองไปที่อีกฝ่าย พลางชี้ไปในอากาศ แล้วพูดว่า: "พวกเราก็อยู่กลางอากาศเหมือนกันเหรอ?"

ตี้หลัวเทียนมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า : “ยังไงก็ได้”

“ถ้าอย่างนั้นก็ลองดูสิ” เฮปเบิร์นพูดอย่างกระตือรือร้น ขณะที่เธอพูด แสงด้านหลังเธอก็กะพริบวาบ และปีกคู่หนึ่งที่ควบแน่นจากเปลวไฟ ก็แผ่ขยายออกไปข้างหลังของเธอ ด้วยการกระพือปีกอย่างแรง ธาตุไฟที่พลุ่งพล่านอยู่ข้างใต้ ก็ผลักร่างกายของเธอ บินขึ้นไปในอากาศแล้ว

เมื่อเห็นฉากนี้ ตี้หลัวเทียนก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ด้านหลังเขามีปีกคู่หนึ่งสีดำราวกับหมึกปรากฏขึ้นเช่นกัน แต่มันใหญ่กว่าปีกของเฮปเบิร์นมาก

โดยทั่วไปแล้ว หลังจากการฝึกฝนเข้าถึงระดับที่ห้า ก็จะสามารถใช้พลังทางจิตวิญญาณของตัวเอง เพื่อแปลงเป็นปีกและบินได้ แต่ก็มีบางคนที่ต้องการถึงระดับที่หก

ตี้หลัวเทียนสามารถบอกได้ทันทีว่า การฝึกฝนของเฮปเบิร์นนั้นไม่แข็งแกร่ง แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเลย ท้ายที่สุด ความแข็งแกร่งของเจ้าหญิงอินา ก็อ่อนแอ กว่าออกัสตินเช่นกัน แต่ในท้ายที่สุดเธอก็โจมตีออกัสตินอย่างหนัก และเกือบจะพลิกจากแพ้เป็นชนะได้ ในความเห็นของเขา เนื่องจากเฮปเบิร์นกล้าที่จะออกมา ก็อาจจะมีอะไรที่ทำให้เธอพึ่งพาได้

ไม่นานทั้งสองฝ่ายก็ลอยขึ้นไปในอากาศ และเฮปเบิร์นก็หยิบไม้กายสิทธิ์ของเธอออกมา มีอัญมณีสีแดงอยู่บนไม้กายสิทธิ์ซึ่งดูสวยงามมาก

ไม้กายสิทธิ์นี้เป็นสมบัติของเธอ โดยปกติแล้ว สมบัติของเธอมีค่ามาก จนเธอไม่ยอมให้ข้าแตะต้องมันด้วยซ้ำ เธอตระหนี่มาก

ในเวลานี้ เฮปเบิร์นซึ่งสวมชุดอาคมสีแดงและถือไม้กายสิทธิ์ไว้ในมือ ปีกเปลวไฟที่เกิดจากพลังวิญญาณที่ควบแน่น กระพือเบาๆ ทำให้เธอดูสวยงามมาก จนกลายเป็นจุดสนใจของผู้ชมในทันที

หากความงามสามารถบ่งบอกได้ถึงความแข็งแกร่ง ในสายตาของนักเวทหลายๆ คน เฮปเบิร์นก็ไม่ด้อยไปกว่าเจ้าหญิงอินา ก่อนหน้านี้เลย

แม้จะอยู่ในเมืองหลวงเจียหม่าน แต่ก็ไม่มีใครรู้จักเธอ ดังนั้น จึงไม่มีใครตั้งคำถามถึงการกระทำของเธอในเวลานี้

ข้าจ้องมองไปบนอากาศอย่าง ใจจดใจจ่อ ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดตอนนี้ คือ เฮปเบิร์น บุกทะลวงภายใต้แรงกดดัน แล้วยอมรับความพ่ายแพ้เพื่อยุติการประลองทันที

เมื่อเฮปเบิร์นหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมา ตี้หลัวเทียนในอีกด้านหนึ่งก็ปล่อยลูกบอลคริสตัลสีม่วงหกลูกออกมา อย่างน้อยก็ดูเหมือนลูกบอลคริสตัล และลูกบอลคริสตัลแต่ละลูกจะปล่อยความผันผวนขององค์ประกอบที่รุนแรงออกมา ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีคุณภาพสูงกว่าไม้กายสิทธิ์ของเฮปเบิร์นมาก

“เริ่มได้!” ถังหลิงตะโกนด้วยน้ำเสียงทุ้ม ในขณะที่ประกาศเริ่มเกมถัดไป สายตาของเธอ ยังเหลือบมองไปยังที่พักของอัศวินมังกรที่อยู่ตรงข้าม

ในเวลานี้ ออกัสตินได้กลับไปยังค่ายพักของตัวเองแล้ว โดยได้รับการช่วยเหลือจากอัศวินมังกร อัศวินมังกรเข้ามาแสดงความยินดีกับเขา แต่เขาดูเหมือนจะยืนอยู่เงียบๆ บนหลังมังกรเพียงเท่านั้น

รอยยิ้มบนใบหน้าของถังหลิงเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เจ้าชนะงั้นเหรอ? มันยังไม่แน่หรอก ว่าใครจะชนะ แค่ปล่อยให้เมล็ดวิญญาณฟักตัวไปสักพัก เมื่อเจ้าแข็งแกร่งขึ้นและกลายเป็นอัศวินมังกรอย่างแท้จริง ถึงเวลานั้นเจ้ารอดพ้นไปได้อย่างไร ในอนาคต หากเจ้ากลายเป็นจักรพรรดิ และอินา ผู้ซึ่งปลูกฝังอารมณ์ทางจิตวิญญาณนี้ ไว้ในทะเลแห่งจิตวิญญาณของเจ้า เธอก็จะกลายเป็นราชินีของเจ้า ตอนนั้นใครจะสยบให้ใครกันแน่?

คราวนี้ เมื่อผู้แข็งแกร่ง จากจักรวรรดิออตโตมันและจักรวรรดิกุสตามาถึง จักรวรรดิสมันจะไม่รู้อะไรเลยจริงๆหรือ?

ไม่แน่นอน! ในทางตรงกันข้าม จักรวรรดิสมัน ได้รับรู้การกระทำของฝ่ายตรงข้าม ผ่านเครือข่ายข่าวกรองอันทรงพลังของพวกเขาแล้ว และได้วางแผนการเอาไว้อย่างรัดกุม

อารมณ์จิตวิญญาณพัฒนามาจากสิ่งประดิษฐ์ ความแตกต่างก็คือ สิ่งประดิษฐ์นี้เป็นอุปกรณ์เวทมนตร์ ที่ใช้เพียงครั้งเดียวและจะหายไปหลังจากการใช้งาน

อารมณ์ทางจิตวิญญาณต้องได้รับการบ่มเพาะตั้งแต่อายุยังน้อย และบูรณาการเข้ากับตัวเอง เมื่อพบกับคนที่คุณรัก ก็สามารถใส่อารมณ์ทางจิตวิญญาณทั้งหมด ลงในทะเลแห่งจิตวิญญาณของอีกฝ่ายได้ นับจากนั้นเป็นต้นไป ความรักระหว่างทั้งสองฝ่าย ก็จะหยั่งรากลึก และมีเพียงตัวผู้ใช้เท่านั้น ที่สามารถอยู่กับอีกฝ่ายได้ตลอดชีวิต สิ่งนี้สร้างขึ้นโดยชายบ้าคลั่งและผู้หญิงเอาแต่ใจคู่หนึ่ง ไม่สามารถทำซ้ำได้ และไม่มีผลข้างเคียงใดๆ

หลังจากที่จักรวรรดิสมันได้รับสิ่งประดิษฐ์นี้ ก็ถูกใช้งานกับเจ้าหญิงอินา หลังจากที่เธอประสูติได้ไม่นาน ในเวลานั้นเธอก็มีความงามเล็กน้อยอยู่แล้ว ตามนิมิตของราชวงศ์ อย่างน้อยในอนาคต เธอก็สามารถแต่งงานกับเทพมนตรา และกลายเป็นเสาหลักของราชวงศ์ต่อไปได้

แต่สิ่งที่ราชวงศ์คิดไม่ถึงก็คือ เจ้าหญิงอินา ปลุกพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์อันทรงพลัง และครอบครองร่างกายที่ทรงพลังที่สุด กลายเป็นบุตรแห่งมิติ ด้วยร่างกายเช่นนี้เธอสามารถเป็นเทพมนตราได้ด้วยตัวเอง แล้วเธอยังจำเป็นต้องแต่งงานกับเทพมนตราอีกงั้นเหรอ?

หลังจากที่เจ้าหญิงอินา กลายเป็นลูกศิษย์ของถังหลิงแล้ว เธอก็บอกถังหลิงเกี่ยวกับเรื่องนี้

ถังหลิงเป็นผู้นำของหอคอยเทพเจ้า ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอำนาจ แต่ถังหลิงยังเป็นนักเวทมิติเหมือนกันอีกด้วย และความแข็งแกร่งในคุณลักษณะมิติ ก็มีความสำคัญต่อเธอมากจริงๆ สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับว่าเชื้อสายของเธอจะสามารถควบคุมหอคอยเทพเจ้าต่อไปได้หรือไม่ นักเวทมิติจะสามารถเป็นผู้นำของหอคอยเทพเจ้าต่อไปได้หรือไม่ ดังนั้นเธอจึงยอมรับอินา โดยไม่ได้คำนึงถึงสิ่งอื่นใด โดยเฉพาะจิตใจของอินา

แต่คราวนี้ เมื่อเผชิญกับการโจมตีอย่างกะทันหันของทั้งสองจักรวรรดิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่รู้ว่าออกัสติน ชายหนุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิออตโตมัน มีพรสวรรค์อันทรงพลังเป็นพิเศษ ถังหลิงจึงตัดสินใจใช้กลยุทธ์นี้หลังจากหารือกับราชวงศ์


Share:

📃นิยาย ผนึกเทพบัลลังก์ราชัน1.5(Side Story) ตอนที่21 : การตอบโต้ของอินา

#นิยายผนึกเทพ1.5

ผนึกเทพบัลลังก์ราชันย์ ภาค1.5 : ตำนานเทพผู้พิทักษ์สวรรค์ (Side Story)


ตอนที่21 การตอบโต้ของอินา
__________________________________

ออกัสตินเป็นคนเด็ดขาดมาก เมื่อเขาเข้าใจคู่ต่อสู้อย่างชัดเจนแล้ว เขาจะไม่มีวันให้โอกาสคู่ต่อสู้อีกเลย การปะทุพลังอย่างเต็มที่ ทำให้เขาสามารถปลดปล่อยพลังโจมตี แตะถึงระดับที่เก้าแล้วด้วยซ้ำ ในฐานะรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งของจักรวรรดิออตโตมัน และเป็นจักรพรรดิในอนาคตของจักรวรรดิออตโตมัน ความแข็งแกร่งของเขานั้นย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

เจ้าหญิงอินาที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ถูกปกคลุมไปด้วยลำแสงดาบจำนวนนับไม่ถ้วน ใบหน้างดงามของนางซีดเซียวลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ในวินาทีต่อมานางก็เคลื่อนไหวเช่นกัน นางเงยหน้า อ้าแขนออก และร่างกายของนางก็ดูเหมือนจะยืดออกในขณะนี้ มังกรไร้ลักษณ์ที่อยู่ข้างใต้นาง กลายเป็นกระแสแสงและผสานเข้ากับร่างของนาง และหายไปอย่างสมบูรณ์

ด้านหลังของนาง มีดาวหกแฉกสีเงินปรากฏขึ้น เช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่มังกรไร้ลักษณ์ปรากฏตัวขึ้นครั้งแรก และกระแสแสงก็เบ่งบานด้วยความสุกใสอันเจิดจ้า

ทันใดนั้นรอยแตกในอวกาศอันมืดมิดราวกับหมึก ก็ปรากฏขึ้นรอบ ๆ ร่างของเจ้าหญิงอินา ร่างกายของนางเป็นเหมือนแหล่งกำเนิดของรอยแตกในอวกาศและระเบิดโลกอวกาศทีละแห่งอย่างต่อเนื่อง

เมื่อต้องเผชิญกับความลึกซึ้งอันน่าสะพรึงกลัวเช่น ดาบทลายสุสาน ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลบหนีผ่านช่องมิติ เพราะการโจมตีนี้ทรงพลังเท่ากับคำสาปต้องห้าม และมันได้ผนึกพื้นที่ทั้งหมดไว้

แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เจ้าหญิงอินา สะบั้นมิติทั้งหมดออกจากกัน และทำให้มันกลายเป็นรอยแตกในอวกาศจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ละรอยแตกสามารถกลืนแสงดาบเข้าไปได้

ความลึกซึ้งของมิติ ทลายสุญตา!

ความลึกซึ้งทั้งสองบนท้องฟ้าอันน่าตื่นตาตื่นใจของทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกันอย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ใครที่ทนไม่ไหวและล้มลงก่อน เมื่อถูกการโจมตีของคู่ต่อสู้ก็ถือว่าเป็นการต่อสู้ที่อันตรายมาก แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับเก้าก็ยังพบว่า เป็นการยากที่จะหยุดการต่อสู้ในเวลานี้

ผู้แข็งแกร่งชั้นนำของทั้งสองฝ่ายต่างเฝ้าดูอย่างประหม่า แต่สำหรับผู้ชมที่อยู่ภาคพื้นดิน พวกเขาส่วนใหญ่หวาดกลัว

การต่อสู้ที่เกิดขึ้นตรงหน้าพวกเขา เป็นฉากที่ไม่อาจจินตนาการได้และน่าสะพรึงกลัวสำหรับนักเวทส่วนใหญ่ คนสองคนนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวอย่างยิ่ง อย่างไม่ต้องสงสัย

รอยแตกในพื้นที่นั้นกลืนกินอยู่ตลอดเวลา แต่แสงดาบก็ถูกสร้างขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

แต่เห็นได้ชัดเจนว่า ความเร็วในการกลืนกินของเจ้าหญิงอินานั้น เริ่มจะตามความเร็วที่แสงดาบปล่อยออกมาไม่ทันแล้ว และช่องว่างในระดับการฝึกฝนของทั้งสองฝ่าย ก็ค่อยๆ ปรากฏออกมาอย่างชัดเจน

แม้ว่าคุณลักษณะของมิติ จะไม่ได้ด้อยไปกว่าคุณลักษณะของแสงหรืออาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ แต่ทั้งเจ้าหญิงอินา และมังกรขี่ของนางยังอ่อนแอ กว่าออกัสตินและมังกรขี่ของเขาที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ออกัสตินได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของจักรวรรดิออตโตมันในรอบหลายพันปี

ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาพยายามหนักมาก ภายในจักรวรรดิออตโตมัน เกือบทุกคนเชื่อว่าเขาสามารถกลายเป็นกึ่งเทพได้ในอนาคต และจะกลายเป็นเสาหลักในอนาคตของจักรวรรดิออตโตมัน

ปัจจุบันมีกึ่งเทพเพียงหนึ่งเดียวในจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งเป็นจักรพรรดิคนปัจจุบัน ของจักรวรรดิออตโตมัน

ราชวงศ์ของจักรวรรดิสมันค่อนข้างอ่อนแอ และจักรพรรดิก็ไม่ได้มีความสามารถที่แข็งแกร่งมากนัก กึ่งเทพถังหลิงเป็นผู้รับผิดชอบสถานการณ์โดยรวม ในฐานะอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในราชวงศ์ เจ้าหญิงอินาได้คารวะถังหลิงเป็นอาจารย์ของนาง และกลายเป็นนักเวทมังกร นางไม่ได้มีความทะเยอทะยานที่จะเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดเช่นออกัสติน

ในโลกนี้ ที่ซึ่งความแข็งแกร่งได้รับการเคารพ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการมีความแข็งแกร่ง

อย่างไรก็ตาม ในการประลองเบื้องหน้านี้ เจ้าหญิงอินาใกล้จะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว! หากนางเสียชีวิตในการรบครั้งนี้ ความเสียหายต่อจักรวรรดิสมันจะยิ่งใหญ่มาก

“ฉันจะสู้กับคุณ!” เสียงโกรธของเจ้าหญิงอินาดังขึ้นกลางท้องฟ้าที่แตกร้าว ช่วงเวลาต่อมา รอยแตกในอวกาศจำนวนนับไม่ถ้วน ก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง วิ่งตรงไปยังออกัสตินในระยะไกล และพื้นที่เดิมที่ปักหลักเมื่อครู่ ก็ถูกล้อมรอบและปราบปรามด้วยรังสีดาบมากขึ้นจากทุกทิศทุกทาง

แต่ในขณะนี้ แสงสีเงินก็ระเบิดออกมาด้วยพลังที่ไม่เคยมีมาก่อน ดาวหกแฉกสีเงินที่อยู่ด้านหลังเจ้าหญิงอินากะพริบและหายไป และแม้แต่ลมหายใจของมังกรไร้ลักษณ์ก็หายไป

ทันใดนั้นแสงสีเงินเจิดจ้าก็เปิดแสงดาบออกมา และรอยแตกในพื้นที่ก็รวมตัวกันเป็นกระแสธาร บินตรงไปในทิศทางของออกัสติน

เจ้าหญิงอินาดึงพลังทั้งหมดของมังกรไร้ลักษณ์ออกมา และในขณะนี้กำลังเปิดการโจมตีครั้งสุดท้าย

“มันไร้ประโยชน์” ออกัสตินพูดเบาๆ และดาบหนักในมือของเขาก็บินออกไป เปล่งแสงสีทองเจิดจ้าในอากาศ แม้ว่าดาบหนักจะละลายไป แต่แสงของดาบที่อยู่รอบๆ ก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก

แม้ว่ารอยแตกบนท้องฟ้า จะยังคงเคลื่อนตัวใกล้เข้ามา แต่ความเร็วของมันก็ค่อยๆลดลง

ใครๆ ต่างก็มองออก ว่าเจ้าหญิงอินา น่าจะแพ้ในเกมนี้ ในทันทีที่ ผลของทักษะ ทลายสุญตาหมดลง นั่นคือช่วงเวลาที่นางแพ้ในการประลอง หรือแม้กระทั่งอาจเสียชีวิต

แสงสีทองยังคงแข็งแกร่งแต่แสงสีเงินก็ค่อยๆ จางหายไป

ใบหน้าของเทพมิติถังหลิง บนท้องฟ้าเริ่มน่าเกลียดมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ผู้แข็งแกร่งของจักรวรรดิออตโตมันและจักรวรรดิกุสตา ต่างก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า

แน่นอนว่า พวกเขาสามารถเห็นได้ชัด ถึงแม้จะมีเฮปเบิร์นที่เคยลงทะเบียนก่อนหน้านี้ แต่ออร่าของเฮปเบิร์นก็อ่อนแอเกินกว่าที่จะสร้างภัยคุกคามใดๆ

ตราบใดที่เจ้าหญิงอินา คนนี้ถูกจัดการ จักรวรรดิสมันก็จะพ่ายแพ้ในการต่อสู้ของคนรุ่นใหม่ นับจากนี้ไปก็จะเป็นเรื่องง่าย ในการเปลี่ยนแปลงโมเมนตัม ควบคู่ไปกับการถ่วงเวลาในพิธีเฉลิมฉลองนี้ ก็ถือเป็นความล้มเหลวของจักรวรรดิสมัน ก็จะบรรลุเป้าหมายในการมา

อย่างไรก็ตาม เมื่อทุกคนคิดว่าผลของเกมนี้ถูกกำหนดไว้แล้ว และออกัสตินกำลังจะได้รับชัยชนะ ก็มีบางอย่างเปลี่ยนไป

แสงสีเงินที่อ่อนลงมากขึ้นเรื่อยๆ ก็หดตัวเข้าด้านในและหายไปในทันที เหมือนกับที่เจ้าหญิงอินาถูกทำลายล้างด้วยแสงดาบโดยตรง

เมื่อเห็นฉากนี้ ออกัสตินก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แต่ถัดมา ร่างสีเงินก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา

นี่เป็นฉากที่ไม่มีใครสามารถจินตนาการได้ เจ้าหญิงอินาที่กำลังจะพ่ายแพ้ หรืออาจถึงตายได้ทุกเมื่อ จู่ๆ ก็ปรากฏตัวบนมังกรทอง อยู่ใกล้กับออกัสตินมาก

ใครจะคิดว่านักเวท จงใจใช้พลังมังกรของเขาจนหมด เพื่อเข้าใกล้อัศวินมังกรผู้ทรงพลัง

ในเวลานี้ เจ้าหญิงอินาไม่มีสีหน้าโกรธเลย

ทั้งสองฝ่ายอยู่ใกล้กัน เผชิญหน้ากัน ออกัสตินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง นิ้วของอินาก็สัมผัสกับเขาแล้ว

ทันใดนั้น ร่างกายของนางที่ดูโปร่งใส ก็เปล่งแสงสีเงินที่แวววาวอย่างมาก ปีกสีเงินทั้งหกปีก บนหลังของนางก็กางออก เผยให้เห็นถึงความสง่างามแปลกๆ

ร่างกายของออกัสตินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ในเวลานี้ เขารู้สึกได้ทันทีว่าทะเลแห่งจิตวิญญาณของเขา กำลังถูกกระแทก อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

มังกรไร้ลักษณ์ ไม่เพียงแต่ปล่อยพลังธาตุมิติของตัวเองให้กับเจ้าหญิงอินา แต่ยังปล่อยพลังทางจิตวิญญาณให้ด้วย พวกเขาเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก และอยู่ด้วยกันมายาวนานความลึกซึ้งของมิติ ก็เพียงการสร้างโอกาสให้กับเจ้าหญิงอินา

เมื่อทั้งสองฝ่ายปะทะกันเป็นครั้งแรก เจ้าหญิงอินาผู้ชาญฉลาดก็รู้สึกได้แล้ว ว่านางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของออกัสตินอย่างแน่นอน ความแข็งแกร่งโดยรวมของคู่ต่อสู้นั้นแข็งแกร่งกว่าของนางเอง และข้อได้เปรียบเพียงอย่างเดียวของนาง อาจเป็นความแข็งแกร่งทางจิตใจ

ดังนั้นนางจึงเต็มใจที่จะเสี่ยงและสร้างโอกาสดังกล่าวให้กับตัวเอง หน้าที่ของความลึกซึ้งของมิติ คือการให้โอกาสนางในการเคลื่อนไหวครั้งนี้ให้สำเร็จ

เป็นไปได้ไหมที่หอคอยเทพเจ้าแห่งจักรวรรดิสมัน เต็มใจที่จะทำให้ราชวงศ์แข็งแกร่งขึ้น และกลายเป็นข้าราชบริพารของราชวงศ์?

แน่นอนว่าไม่ใช่ แต่ในกรณีนี้ เทพมิติถังหลิง ยังคงเต็มใจที่จะรับเจ้าหญิงอินาเป็นลูกศิษย์ของเขา และฝึกฝนนางอย่างระมัดระวัง เพื่อให้นางเป็นนักเวทมังกร มีเหตุผลเดียวเท่านั้น คือ พลังวิญญาณภายในของเจ้าหญิงอินาคือเก้าสิบเก้า ซึ่งก็คือบุตรแห่งมิติ

ด้วยความสามารถพิเศษของนาง ด้วยการเคลื่อนไหวในครั้งสุดท้าย นางได้ระเบิดพลังแห่งสายเลือดของนาง และกลายร่างเป็นผู้ส่งสารแห่งมิติ ดังนั้น นางจึงสามารถฝ่าการปิดล้อมได้

พายุวิญญาณได้ปะทุขึ้นอย่างสมบูรณ์ในเวลานี้ ทำให้ออกัสตินได้รับของขวัญชิ้นใหญ่ในระยะใกล้

ออกัสตินคิดไม่ถึงว่าสถานการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น ทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป สูงขึ้นไปบนท้องฟ้า ถังหลิงซึ่งแต่เดิมมีใบหน้าที่เคร่งขรึม ก็ปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาจบแล้วสินะ! อินาไม่เคยทำให้ตัวเองผิดหวัง


Share:

📃นิยาย ผนึกเทพบัลลังก์ราชัน1.5(Side Story) ตอนที่20 : ความลึกซึ้งของอัศวินมังกรทอง

#นิยายผนึกเทพ1.5

ผนึกเทพบัลลังก์ราชันย์ ภาค1.5 : ตำนานเทพผู้พิทักษ์สวรรค์ (Side Story)


ตอนที่ 20 ความลึกซึ้งของอัศวินมังกรทอง
__________________________________

แสงสีเงินเคลื่อนไหวอยู่ภายในตาของอินา เปล่งแสงริบหรี่ ล้นทะลักออกมาจากขอบตาของเธอ ไม้กายสิทธิ์ในมือของเธอโบกขึ้นไปในอากาศอย่างเลือนลาง และทันใดนั้น ก็ปรากฏระลอกคลื่น ขึ้นในบริเวณพื้นที่โดยรอบ

ระลอกคลื่นสีเงินพุ่งตรงไปในทิศทางของออกัสติน ทำให้เกิดรัศมีที่บิดเบี้ยวขึ้นมาในอากาศ

ในระหว่างการเคลื่อนที่ของระลอกคลื่นสีเงิน จะเห็นได้ว่าจุดศูนย์กลางของแสงสีเงินค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำสนิท ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นลักษณะของมิติที่ถูกฉีกขาด เผยให้เห็นช่องว่างอีกมิติหนึ่ง

ด้วยความช่วยเหลือจากมังกรยักใต้ร่างของเธอ การควบคุมพลังแห่งมิติของอินา จึงก้าวไปสู่ระดับที่ทรงพลังอย่างแท้จริง

แต่ในขณะนี้ ออกัสตินที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็เคลื่อนไหวแล้ว ปีกของมังกรทองที่อยู่เบื้องล่าง กระพือปีกและเร่งความเร็วขึ้นอย่างกะทันหัน เขายกดาบหนักในมือขึ้นสูงเหนือหัว และประกายแสงสีทองสุกใส ก็กลายเป็นกลุ่มเปลวไฟ พราวพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ในขณะนี้ ตัวเขากับมังกรดูเหมือนว่าจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียวแล้ว

ระลอกคลื่นสีเงินที่พุ่งเข้ามาปะทะกัน จากนั้นทุกสิ่งในระลอกคลื่นได้ถูกทำลายล้างด้วยเปลวไฟสีทองที่ลุกโชน เสมือนความมืดที่ถูกทำให้สว่างด้วยแสงในทันใด ในเวลานี้ ออกัสตินเป็นเหมือนดาวตกสีทอง บินอย่างห้าวหาญไปในทิศทางของอินา

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วมาก และการปะทะกันครั้งแรกระหว่างทั้งสองฝ่าย ก็เสร็จสิ้นในชั่วเวลาเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น

ด้วยเปลวไฟสีทองอันเจิดจ้า ออกัสตินก็มาถึงหน้าอินาแทบจะในทันที โดยอาศัยความสามารถในการบินอันทรงพลังของมังกรทอง มังกรยักสองตัว สีทองและสีเงิน กำลังจะปะทะกัน ปากของมังกรทองถูกเปิดออก และกระแสไฟสีทองก็ยิงตรงไปยังมังกรไร้ลักษณ์ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม โดยไม่มีเจตนาจะแสดงความเมตตาแม้แต่น้อย

แสงสีม่วงในดวงตาของมังกรไร้ลักษณ์เริ่มหนาขึ้นเล็กน้อยในขณะนี้ และในช่วงเวลาต่อมา มันและเจ้าหญิงอินาที่อยู่เหนือศีรษะก็กลายเป็นภาพลวงตาในทันที

ร่างใหญ่ทั้งสองผสานเข้าด้วยกันในฉับพลัน และแยกจากกันอีกครั้งในชั่วขณะถัดไป โดยแลกเปลี่ยนตำแหน่งกัน

จากมุมมองของคนทั่วไป มังกรทองได้ทะลุผ่านมังกรไร้ลักษณ์ไปจริงๆ โดยไม่สามารถสัมผัสตัวของมันได้เลย และมังกรไร้ลักษณ์ก็ไม่ได้ถูกเผาด้วยเปลวไฟอันเจิดจ้า ของมังกรทอง

มีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับสูงเท่านั้น ที่เห็นได้ชัดว่า ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังจะปะทะกัน เจ้าหญิงอินา กับมังกรไร้ลักษณ์ของเธอ ได้ทะลวงเข้าไปในอวกาศอีกมิติหนึ่งในฉับพลัน และพวกเขารอจนกระทั่งมังกรทองเคลื่อนตัวผ่านไปแล้ว จึงได้ปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง

กระบวนการนี้ฟังดูเหมือนง่าย แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่จำเป็นต้องมีคือความร่วมมือกันอย่างสมบูรณ์แบบ ระหว่างนักเวทและมังกร

ทั้งสองฝ่ายเคลื่อนผ่านกันและกัน จากนั้นการแสดงออกของพวกเขาก็เคร่งขรึมขึ้น

“นักเวทอ่อนแอ กว่านิดหน่อย” ข้าพึมพำ

“เธอรู้ได้อย่างไร? ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย?” เฮปเบิร์นพูดอย่างสงสัย

"การใช้พลังงานนั้นแตกต่างกัน" “ ข้าเหลือบมองเธอ” คนหนึ่งกระตุ้นพลังสายเลือดของตัวเองให้ระเบิดพลังโจมตี ทะลุทะลวงการป้องกันของคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย

แต่อีกคนหนึ่งเพราะเขาไม่กล้าปะทะซึ่งหน้า จึงเริ่มด้วยการเคลื่อนย้ายผ่านมิติ

นี่ยังไม่ชัดเจนอีกเหรอ ว่าใครใช้พลังงานไปมากกว่ากัน?

มังกรทองตัวนั้นแข็งแกร่งมาก และแม้แต่ช่องว่างมิติ ซึ่งไม่สามารถแตกหักได้ กลับสามารถ ผสานกลับด้วยพลังงานแห่งแสงได้

เฮปเบิร์นมองขึ้นไปกลางอากาศ แล้วหันกลับมามองที่ข้า พลันเอ่ยถามอย่างสงสัย: “เธอมองเห็นได้ชัดเจนขนาดนี้ได้อย่างไร”

ข้าเงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจและส่ายหัว : “ขอบเขต!”

“ประเสริฐจริงๆ!” เฮปเบิร์นกลอกตาใส่ข้าแล้วบีบมาที่เอว ในที่สุดขอบเขตของข้าก็ล่มสลายลงเพราะผู้หญิงที่โหดเหี้ยมคนนี้!

หลังจากการปะทะกันครั้งแรก ทั้งสองฝ่ายกลางอากาศ ต่างก็ประเมินความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ได้อย่างชัดเจน ออกัสตินยกดาบหนักในมือขึ้นเหนือหัวอีกครั้ง เปลวไฟสีทองสุกใส แทบจะย้อมท้องฟ้าให้เป็นสีทองทั้งหมด จากนั้นพลังงานสายเลือดที่ผันผวน ก็รุนแรงมากขึ้นจนทุกคนบนพื้นรู้สึกเหมือนกำลังถูกแผดเผา

ผู้ชายคนนี้แข็งแกร่งมากจริงๆ ข้ากำลังคิดอยู่ในใจ

ในอีกด้านหนึ่ง เจ้าหญิงอินา ยกไม้กายสิทธิ์ในมือของเธอขึ้นสูง และปากก็ร่ายมนตร์คาถาออกมา มังกรไร้ลักษณ์ใต้ร่างของเธอพลันปะทุแสงสีเงินเจิดจ้าออกมา และดวงตาของเธอก็กลายเป็นสีเงินไปโดยสิ้นเชิง

ความผันผวนของมิติที่แปลกประหลาด ระเบิดออกมา กลางอากาศ ปกคลุมร่างกายของเธอและมังกรไร้ลักษณ์ที่อยู่ข้างใต้เธอจนมิด

ในเวลานี้ ดาบหนักของออกัสตินที่ฟันฉับลงมา และเปลวไฟสีทอง ที่ปล่อยออกมาจากมังกรทองที่อยู่ด้านล่าง ได้ผสานเข้ากับแสงดาบที่เขาฟันออกมาในฉับพลัน กลายเป็นแสงดาบสีทองขนาดใหญ่และบินออกไปในอากาศ มุ่งหน้าตรงไปยังเจ้าหญิงอินาที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

แสงดาบมีความยาวหนึ่งร้อยเมตร ไม่ว่ามันจะผ่านไปที่ไหน พื้นที่บริเวณนั้นก็จะบิดเบี้ยว และองค์ประกอบ ของมิติจำนวนนับไม่ถ้วนก็ถูกขับกระจายออกไป

นี่คือการ ปราบปรามด้วยพลัง ในแง่ของการฝึกฝน ออกัสตินกับมังกรทองของเขานั้น เหนือกว่า เจ้าหญิงอินาและมังกรไร้ลักษณ์อย่างแท้จริง

หากพวกเขาต้องการปราบปราม อินาโดยตรง ด้วยระดับพลังยุทธ์ของตนเอง อินาก็จะไม่มีโอกาสตอบโต้ได้เลย

ไม้กายสิทธิ์ในมือของเจ้าหญิงอินา ก็โบก ออกมาในขณะนี้ และคราวนี้เธอไม่ได้เลือกที่จะเคลื่อนย้ายพริบตา

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพลังแห่งแสงที่ทรงพลังของคู่ต่อสู้ หากเธอยังคงเลือกจะเคลื่อนย้ายต่อไป การใช้พลังงานของเธอก็จะมากขึ้นไปอีก

ไม่เพียงแต่ในการเคลื่อนย้ายพริบตาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการรักษาพื้นที่ด้วย จากประสบการณ์ครั้งแรก คู่ต่อสู้จะต้องรอเธอ อยู่ที่จุดที่เธอเคลื่อนย้ายกลับมา อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากนั้นโอกาสของเธอคงจบสิ้นแล้วจริงๆ

หลังจาก ตระหนักได้ว่า ฐานการฝึกฝนของเธอไม่ดีเท่าของคู่ต่อสู้ เจ้าหญิงอินา ก็ตัดสินใจได้ในทันที หากต้องการเอาชนะ ก็ต้องโจมตีคู่ต่อสู้อย่างสาหัส ด้วยพลังทั้งหมด

ขณะที่มังกรไร้ลักษณ์ ภายใต้การนำของเจ้าหญิงอินา ได้ปะทุแสงสีเงินเจิดจ้าออกมา ตัวเธอเองดูเหมือนจะโปร่งใส และมีองค์ประกอบมิติ จำนวนนับไม่ถ้วน มารวมตัวกันบนไม้กายสิทธิ์ในมือของเธอ

ท้ายที่สุดแล้ว นี่คือสถานที่ของจักรวรรดิสมัน และด้านหลังเจ้าหญิงอินา คือการดำรงอยู่ ของหอคอยเทพเจ้า แม้ว่าระดับพลังยุทธ์ของเธอ จะไม่เพียงพอที่จะระดมพลังของ หอคอยเทพเจ้า แต่ด้วยในช่วงของการเฉลิมฉลองในขณะนี้ เทพมิติถังหลิง ได้รวบรวมองค์ประกอบมิติจำนวนมาก และฉีดพวกมันเข้าไปในหอคอยเทพเจ้า ดังนั้นจึงไม่ต้องกลัวว่าที่นี่ จะขาดแคลนองค์ประกอบของมิติ

แสงสีเงินเจิดจ้าตัดผ่านท้องฟ้า และการสะบั้นมิติขนาดมหึมา แทบจะตัดพื้นที่ทั้งหมดออกเป็นสองส่วน ไม่ว่ามันจะผ่านไปที่ไหน ความมืดมิดที่ล้อมรอบด้วยแสงสีเงินทั้งสองด้าน ก็บรรจบกับแสงดาบสีทองขนาดใหญ่ทันที

เมื่อทั้งสองปะทะกัน คราวนี้เป็นแสงดาบสีทองที่ถูกตัดออก แสงดาบถูกแยกออกโดยตรงและแยกเป็นสองด้าน แต่พลังของการสะบั้นมิติยังคงเคลื่อนไปข้างหน้า มุ่งตรงไปเพื่อฟันร่างของอัศวินมังกรทองออกัสติน

การโจมตีครั้งนี้ของเจ้าหญิงอินา ทรงพลังมาก

แต่สีหน้าของออกัสตินไม่ได้เปลี่ยนไปเลย การฟาดด้วยดาบของเขาเมื่อสักครู่ ดูงดงามมาก แต่จริงๆ แล้วเขายังไม่ได้ใช้กำลังทั้งหมดเลยด้วยซ้ำ

เขาแค่อยากลองเชิง ดูว่าเจ้าหญิงอินา คิดจะซ่อนตัวอยู่ในมิติอื่นอีกครั้งหรือไม่ หากอีกฝ่ายทำเช่นนี้ เขาจะได้เปรียบอย่างแน่นอน เพราะเมื่ออีกฝ่ายเคลื่อนย้ายกลับมาอีกครั้ง เธอก็จะสูญเสียโอกาสในการป้องกัน

ในเวลานี้ การตอบโต้อย่างเต็มที่ของเจ้าหญิงอินา ทำให้ออกัสตินรู้สึกชื่นชมและประทับใจเป็นอย่างมาก ความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ไม่ดีเท่าของตัวเอง ดังนั้นก็ทำได้เพียงใช้วิธีที่ตรงที่สุดเพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้

ออกัสตินหยิบดาบหนักในมือที่อยู่ตรงหน้ากลับมา พลันมองขึ้นไปบนอากาศ แล้วส่งเสียงคำรามยาว เมื่อเห็นว่าการสะบั้นมิติ กำลังใกล้เข้ามา เปลวเพลิงสีทองอันน่าสะพรึงกลัวก็ปะทุออกมาจากตัวเขาและมังกรสีทอง ราวกับภูเขาไฟระเบิด ความผันผวนของพลังงานสายเลือด ทำให้ทั่วท้องฟ้าดูเหมือนกำลังจะลุกไหม้!

หลังจากที่สะบั้นมิติ เข้าสู่ระยะของเปลวไฟสีทอง มันก็หยุดนิ่งลงทันที และสามารถขยับไปข้างหน้าได้ทีละน้อยเท่านั้น

ออกัสตินค่อยๆ ยกดาบหนักขึ้นมาอีกครั้ง และพูดคำสั้นๆ สองคำ: “โชติช่วงชัชวาล!”

ทันใดนั้น แสงสีทองทั้งหมดก็รวมตัวกัน เปลวไฟถูกควบแน่น และออกัสตินกับมังกรทองที่อยู่ด้านล่าง ก็โปร่งใส ราวกับคริสตัล เสมือนว่าพวกมันกลายเป็นรูปปั้นทองคำอย่างแท้จริง

สะบั้นมิติได้เข้ามาถึงเบื้องหน้า และเมื่อมันสัมผัสกับร่างกายที่มีลักษณะคล้ายประติมากรรมทองคำ มันก็พังทลายลงทันที และไม่สามารถทำร้ายคู่ต่อสู้ได้เลย

แต่ในขณะนี้ แสงสีทองหลั่งไหลออกมาราวกับของเหลว และช่วงเวลาต่อมา แสงและเงาสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นทั่วทั้งท้องฟ้า

มันเป็นแสงดาบสีทองกากบาท และออกัสตินจำนวนนับไม่ถ้วน ดูเหมือนจะปรากฏขึ้นกลางอากาศ แสงดาบที่น่าสะพรึงกลัวได้ปิดกั้นพื้นที่ทั้งหมด ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดรอบ ๆ เจ้าหญิงอินา

ความลึกซึ้งของอัศวินมังกรทอง ดาบทลายสุสาน! แห่งดาบทองคำศักดิ์สิทธิ์


Share:

📃นิยาย ผนึกเทพบัลลังก์ราชัน1.5(Side Story) ตอนที่19 : นักเวทย์มังกร

#นิยายผนึกเทพ1.5

ผนึกเทพบัลลังก์ราชันย์ ภาค1.5 : ตำนานเทพผู้พิทักษ์สวรรค์ (Side Story)


ตอนที่19 นักเวทย์มังกร
__________________________________

ใบหน้าของออกัสตินจริงจัง มีแสงสีทองส่องประกายบนมือขวาของเขา และดาบยักษ์สีทองก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา ในเวลานี้ เขาดูเหมือนนักรบทองคำ โดยที่ร่างกายของเขาเปล่งแสงสีทองออกมา

ด้านหลังของเขา ค่อยๆ ปรากฏดาวหกแฉกสีทองขนาดใหญ่ขึ้นมา ดาวหกแฉกขนาดใหญ่ระเบิดออกมาพร้อมกับรัศมีแสงอันแรงกล้า ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นพลังงานที่มีคุณลักษณะของธาตุแสง เจ้าชายจากจักรวรรดิออตโตมันผู้นี้ กลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีคุณลักษณะแห่งแสง

ในบรรดาคุณสมบัติพื้นฐานทั้งเจ็ดนั้น สามคุณสมบัติที่ทรงพลังที่สุด ได้แก่ แสงสว่าง ความมืด และมิติ ซึ่งเหนือกว่าคุณสมบัติองค์ประกอบอื่นๆ

ผู้พิทักษ์องค์ประกอบมิติ ที่อยู่กลางอากาศ หรี่ตาลงเล็กน้อย พลันเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยฮ่าวหานที่อยู่ฝั่งตรงข้าม : "เขาสืบทอดมรดกมังกรทอง ของราชวงศ์ออตโตมันเหรอ?"

“แน่นอน ฝ่าบาทออกัสตินเป็นรัชทายาทลำดับที่หนึ่งของ บัลลังก์ออตโตมัน” เยี่ยฮ่าวหานพูดอย่างสงบ แต่ไม่อาจปกปิดรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาได้

ออกัสตินเป็นลูกศิษย์ของเขา แม้ว่าคุณลักษณะของเขาจะแตกต่างออกไป แต่เขาก็สอนออกัสตินมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้น เขาจึงคุ้นเคยกับลูกศิษย์คนนี้มากโดยธรรมชาติ

ออกัสตินโดดเด่นทั้งในด้านพรสวรรค์และความอุตสาหะ บรรดาอัศวินมังกรทุกคนเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้นี้ ออกัสตินจะกลายเป็นบุคคลแข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิออตโตมัน หรือแม้แต่เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปนี้ก็เป็นไปได้อย่างแน่นอน

ในขณะนี้ ภายในดาวหกแฉกสีทอง มีเสียงคำรามของมังกรอันเร่าร้อนดังออกมา และหัวสีทองขนาดใหญ่ก็โผล่ออกมาจากข้างใน หัวมังกรก้มลง และครู่ต่อมา ก็รองรับร่างกายของออกัสตินไว้แล้ว หลังจากนั้น จู่ๆ ร่างมังกรขนาดใหญ่ก็บีบตัวออกมาจาก หกแฉกสีทอง และทันใดนั้นก็บินขึ้นไปพร้อมกับร่างของออกัสติน

เห็นได้ชัดว่าเป็นมังกรยักษ์ที่สง่างาม มันมีความยาวลำตัวมากกว่า สี่สิบเมตร ส่วนลำตัวของมันถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีทอง รัศมีแห่งแสงที่แข็งแกร่งอันไร้ที่เปรียบ ได้ระเบิดออกมาจากตัวมัน และทั้งตัวของมันก็เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังที่ไม่มีใครเทียบได้

เมื่อมังกรยักษ์จับออกัสตินไว้ในอ้อมแขนของมัน ความเชื่อมโยงบางอย่างก็เกิดขึ้นระหว่างทั้งสอง จากนั้นองค์ประกอบแสงที่ค่อยๆ ทวีความรุนแรงมากขึ้นก็ระเบิดออกมา ก่อตัวเป็นวงกลมรัศมีสีทองล้อมรอบพวกเขา ออร่าที่ทรงพลังอย่างยิ่งนั้นทำให้นักเวทย์หลายคนในจักรวรรดิสมัน ที่อยู่เบื้องล่างเงียบกริบ แม้แต่เสียงของการสนทนาก่อนหน้านี้ก็หายไป

เมื่อมองดูฉากนี้ข้าก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว กลุ่มมังกรก็เกิดมาพร้อมกับร่างกายที่แข็งแกร่ง ถึงแม้ว่ามังกรทองข้างหน้านี้จะยังไม่โตเต็มวัย แต่ก็ยังมีความแข็งแกร่งประมาณระดับเก้าแล้ว เห็นได้ชัดว่ามังกรทองตัวนี้ดีที่สุดในหมู่พวกเขา

สัตว์ประหลาดระดับเก้าเทียบเท่ากับมนุษย์ที่มีความแข็งแกร่งระดับแปด เห็นได้ชัดว่าออกัสตินมีระดับพลังยุทธ์ระดับแปด เช่นเดียวกัน ด้วยการเพิ่มมังกรยักษ์มาอีกตัว ใครๆ ก็สามารถจินตนาการได้ว่าความแข็งแกร่งของเขาในเวลานี้จะแข็งแกร่งเพียงใด

“เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้แบบนี้ คุณยังอยากจะสู้อีกไหม?” ข้า แตะเฮปเบิร์นที่อยู่ข้างๆ

เฮปเบิร์นก็จ้องมองไปบนอากาศในเวลานี้ด้วยสายตาที่เป็นประกาย : ”โอ้ว หล่อมาก ทองอร่ามเรืองรอง”

จู่ๆ ข้าก็โกรธขึ้นมา ในขณะที่ข้ากำลัง กังวลเรื่องความปลอดภัยของเธอ แต่เธอกลับกำลังชื่อชนความหล่องั้นเหรอ?

แต่คำพูดถัดไปของเธอทำให้ข้าตกใจ

“บอกฉันหน่อยว่า ถ้าทองคำทั้งหมดบนตัวของเขา กลายเป็นทองคำได้จริงๆ จะมีมูลค่าเท่าไหร่” แสงสว่างในดวงตาของเฮปเบิร์นยิ่งเป็นประกายเจิดจ้ายิ่งขึ้น

“คุณเป็นคนโลภเงินขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” ข้าอดไม่ได้ที่พูดหยอกล้อ

“เมื่อวานนี้! เมื่อวานนี้ฉันตระหนักได้ถึงความสำคัญของเงิน จากนี้ไป เธอจะต้องหาเงินมากๆ มาเลี้ยงฉัน ได้ยินไหม” เฮปเบิร์นพูดอย่างจริงจัง

“ทำไมฉันต้องเลี้ยงคุณด้วยล่ะ? คุณเป็นผู้รับใช้ของฉันไม่ใช่เหรอ?”

“ใช่แล้ว! แน่นอนว่าผู้เป็นนายจะต้องสนับสนุนคนรับใช้ เพราะคนรับใช้ก็ต้องคอยช่วยเหลือเจ้านายถูกไหม? เจ้ายังมีความเป็นมนุษย์บ้างไหม? มีมโนธรรมบ้างไหม? ออสติน จากนี้ไปเธอต้องขยันทำงานให้หนัก”

ข้าหมดคำพูด ผู้หญิงน่าชังคนนี้ ข้าไม่เคยโต้แย้งคำพูดของเธอได้เลยสักครั้ง

ในขณะนี้ เสียงคำรามของมังกรอีกตัวก็ดังมาจากกลางอากาศ เมื่อได้ยินเสียงคำรามของมังกรตัวที่สอง ข้าก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ

ทันใดนั้นเอง แสงสีเงินก็ปรากฏขึ้นด้านหลังเจ้าหญิงอินา ดาวหกแฉกสีเงินกระพริบตรงข้ามกับดาวหกแฉกสีทองที่อยู่ตรงข้าม เพียงแต่ว่ารูปหกเหลี่ยมสีเงินที่อยู่ด้านหลังเจ้าหญิงอินานั้นเล็กกว่า พร้อมกับเสียงคำรามของมังกร จากนั้นก็มีร่างสีเงินโผล่ออกมาจากมัน

มันเป็นมังกรเงินขนาดยักษ์ที่มีความยาวประมาณ สามสิบเมตร เมื่อเปรียบเทียบกับมังกรทองคู่บารมีที่อยู่ตรงข้าม รูปร่างของมังกรเงินตัวนี้ดูสวยงามกว่ามาก โดยมีปีกคู่หนึ่งกางออก ดวงตาของมันเป็นสีม่วง เปล่งแสงสีม่วงจางๆ ส่วนเกล็ดบนตัวของมันก็มีลักษณะหกเหลี่ยมแปลกๆ ทันทีที่มันปรากฏตัว ก็ทำให้เกิดการบิดเบือนที่แปลกประหลาดในอากาศโดยรอบ

“นักเวทย์มังกร?” อัศวินมังกรที่อยู่ฝั่งตรงข้ามต่างอุทานด้วยความประหลาดใจ แน่นอนว่านักเวทย์มังกรนั้นหายากกว่าอัศวินมังกร

มังกรยักษ์ทุกตัวล้วนแต่มีร่างกายที่แข็งแกร่ง และมีความสามารถในการใช้เวทมนตร์ แต่หากพูดให้ถูกก็คือ มังกรส่วนใหญ่ใช้เวทมนตร์เพื่อสนับสนุนร่างกายที่แข็งแกร่งของพวกเขา เพื่อที่จะเสริมความแข็งแกร่งในการต่อสู้

แต่มีมังกรเพียงไม่กี่ตัว ที่มีพลังทางจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษเท่านั้น และจะมุ่งเน้นไปที่เวทมนตร์ ปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นพาหะของเวทมนตร์ ในเวลาเดียวกัน มีเพียงมังกรยักษ์เท่านั้น ที่สามารถลงนามสัญญากับนักเวทย์ได้ และทำให้พวกเขากลายเป็นนักเวทย์มังกร

เจ้าหญิงอินาแห่งจักรวรรดิสมัน กลายเป็นนักเวทย์มังกร

หากต้องการเป็นนักเวทย์มังกร คุณลักษณะทางเวทย์มนตร์ของตัวเองจะต้องสอดคล้องกับคุณสมบัติของมังกร ด้วยวิธีนี้ จึงจะสามารถใช้ความแข็งแกร่งอย่างเต็มประสิทธิภาพได้

คุณลักษณะของออกัสตินและมังกรทองของเขามีคุณสมบัติแสงซึ่งหาได้ยากมากอยู่แล้ว แต่ในฐานะนักเวทย์ เจ้าหญิงอินาสามารถมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับมังกรคู่หูของเธอ ซึ่งหายากยิ่งกว่านั้นไปอีก

นอกจากนี้ คุณลักษณะของเธอคือมิติ เช่นเดียวกับผู้พิทักษ์องค์ประกอบมิติ ถังหลิง ดังนั้นเธอก็น่าจะเป็นลูกศิษย์ของเทพมิติถังหลิง อย่างแน่นอน

ในการต่อสู้ครั้งนี้ เยี่ยฮ่าวหานและอัศวินมังกรคนอื่นๆ เดิมมีความมั่นใจอย่างเต็มที่ในตัว ออกัสติน แต่ในเวลานี้ ความมั่นใจเดิมของพวกเขา อดไม่ได้ที่จะสั่นคลอนเล็กน้อยแล้ว เพราะคู่ต่อสู้รายนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรับมือ!

เจ้าหญิงอินายืนอยู่บนมังกรเงิน โดยถือไม้กายสิทธิ์สีขาวเงินอยู่ในมือขวา ส่วนร่างกายของเธอกำลังเปล่งแสงสีเงินอันแปลกประหลาดออกมา แสงลวงตาทำให้เธอดูเลือนลางเล็กน้อย แต่ความเลือนลางนี้ มันกลับทำให้เธอดูลึกลับและสง่างามยิ่งขึ้น

มังกรไร้ลักษณ์ เป็นมังกรที่หายากมาก พวกมันมีคุณสมบัติเชิงพื้นที่ ความแข็งแกร่งทางกายภาพของมันด้อยกว่ามังกรทั่วไปมาก แต่มันมีพลังจิตที่แข็งแกร่งมาก มีความสัมพันธ์ตามธรรมชาติกับองค์ประกอบของมิติ และสามารถควบคุมพลังของคุณลักษณะมิติได้

เพื่อที่จะให้ได้รับการยอมรับจากมังกรยักษ์ตัวนี้ อินาต้องอาศัยอยู่กับมังกรตัวน้อยทันทีที่เธอเกิด และเติบโตขึ้นมาพร้อมกับมัน โดยเสี่ยงที่จะถูกทำร้ายจากมังกรไร้ลักษณ์ตัวนี้เมื่อใดก็ได้ จนกระทั่งเธอเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ตอนอายุสิบแปดปี มังกรไร้ลักษณ์จำเธอได้และได้ทำสัญญากับเธอ ดังนั้นจักรวรรดิสมัน จึงได้ปรากฏนักเวทย์มังกรขึ้นมา

“พระองค์เป็นแขกจากแดนไกล เชิญฝ่าบาทก่อนเถอะ!” เจ้าหญิงอินาแสดงท่าทางเชิญชวนต่อออกัสติน

ออกัสตินโบกดาบทักทายกลับไป เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เต็มใจที่จะเป็นฝ่ายเริ่ม อีกฝ่ายเป็นผู้หญิง และเขายังมีความกล้าหาญอยู่บ้าง

อินาไม่ถ่อมตัวอีกต่อไป เธอรู้ดีว่าอาจารย์ของเธอต้องการอะไร นางขอให้เธอดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหานี้ให้เร็วที่สุด และปล่อยให้การเฉลิมฉลองดำเนินต่อไป

สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาของจักรวรรดิสมันในอนาคต เมื่อครั้งนี้ถูกขัดขวางได้สำเร็จ ในครั้งต่อๆ ไปมันก็จะเกิดขึ้นอีก


Share:

📃นิยาย ผนึกเทพบัลลังก์ราชัน1.5(Side Story) ตอนที่18 : เฮปเบิร์นเข้าร่วมการแข่งขัน

#นิยายผนึกเทพ1.5

ผนึกเทพบัลลังก์ราชันย์ ภาค1.5 : ตำนานเทพผู้พิทักษ์สวรรค์ (Side Story)


ตอนที่18 เฮปเบิร์นเข้าร่วมการแข่งขัน
__________________________________

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทั้งจักรวรรดิออตโตมัน และจักรวรรดิกุสตา ต่างก็เตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดี เมื่อตัวแทนทั้งสองที่พวกเขาเลือกตกลงมาจากอากาศและเข้าสู่จัตุรัสหน้าหอคอยเทพเจ้า ข้าสัมผัสได้ถึงความกังวลใจของเหล่านักเวทย์ที่อยู่รอบตัวของข้า

ภายใต้สถานการณ์ปกติ นักเวทย์ทุกคนสามารถลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมได้ แต่เมื่อมีรุ่นเยาว์ที่มองดูก็รู้ว่าแข็งแกร่งมาก และเป็นตัวแทนของทั้งสองจักรวรรดิใหญ่มาเข้าร่วม นักเวทย์ที่อ่อนแอเหล่านั้นจะกล้าเข้าร่วมได้อย่างไร?

ในครั้งนี้เกรงว่า จักรวรรดิออตโตมันและจักรวรรดิกุสตา ไม่เพียงแต่มาเพื่อขัดขวางพิธีเท่านั้น แต่ยังมาเพื่อข่มขวัญอีกด้วย

เมื่อจักรวรรดิสมันพ่ายแพ้ในการประลอง ขวัญกำลังใจของพวกเขาจะได้รับผลกระทบอย่างมาก นอกจากนี้ ความสามารถของหอคอยเทพเจ้าที่ใช้ในการดูดซับองค์ประกอบต่างๆ ก็จะได้รับผลกระทบอย่างมาก และผลกระทบของจักรวรรดิสมันจะยิ่งใหญ่กว่าการทำสงครามเสียอีก ทั้งสองจักรวรรดินี้คิดมาได้อย่างรอบคอบจริงๆ!

เทพมิติ ถังหลิง ไม่ได้สนใจการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ของนักเวทย์ในเวลานี้มากนัก สำหรับเธอแล้ว ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าหอคอยเทพเจ้าที่ดูดซับองค์ประกอบต่างๆ แน่นอนว่าการประลองก็แพ้ไม่ได้

“เริ่มจับสลากได้เลย ถ้าคิดว่าตัวเองมีกำลังไม่เพียงพอ ก็อย่าออกมาให้ขายหน้าเลย”

ลูกบอลแสงสีขาวเงินค่อยๆ ลอยขึ้นตรงกลางจัตุรัส ก่อนการเฉลิมฉลองจะเริ่มต้นขึ้น มีคนบอกเอาไว้ว่า ตราบเท่าที่เราใส่หมายเลขที่ได้รับไปก่อนหน้านี้ ลงในลูกบอลแสง คู่ต่อสู้ก็จะถูกกำหนดโดยอัตโนมัติ

รอชมการแสดง! ข้าคิดในใจอย่างตื่นเต้น แต่จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ข้างๆ ตัว เมื่อหันมองไปด้านข้าง ก็เห็นว่าเฮปเบิร์นเดินออกไปแล้ว

“เธอจะทำอะไร” ข้ารีบวิ่งเข้าไปคว้าตัวเธอไว้

“ไปลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วม!” เฮปเบิร์นพูดตามความเป็นจริง ดวงตาโตของเธอเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นที่จะลอง

“คุณโง่เหรอ! ไม่เห็นรึไงว่า เจ้าพวกที่มาก่อปัญหาสองคนนั้น มันไม่ง่ายเหมือนระดับหกทั่วไปอย่างแน่นอน? แล้วคุณจะเข้าแข่งขันเพื่ออะไร!” ข้าพูดด้วยความโกรธ

เฮปเบิร์นพูดด้วยความประหลาดใจว่า "พวกเราไม่ใช่คนเดียวที่เข้าร่วม ยังมีคนอื่นๆ อีกด้วย มีนักเวทย์มากมายขนาดนี้ ฉันคงไม่โชคร้ายจับฉลากเจอพวกเขาหรอกมั้ง ตอนนี้พวกเราอยู่ที่นี่แล้ว ก็อยากจะลองดูสักหน่อย ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ถึงจะสามารถทะลวงไปถึงระดับที่หกได้ เจ้าจะไม่เข้าร่วมเหรอ?”

“ตาเฒ่าผอมบอกว่าฉันไม่จำเป็นต้องเข้าร่วม อัจฉริยะควรทำตัวเรียบง่าย” ข้าพูดอย่างภาคภูมิใจ

“โอเค งั้นฉันไปล่ะ” จากนั้นเฮปเบิร์นก็วิ่งไป และโยนป้ายสำหรับลงทะเบียนในมือของเธอ เข้าไปในลูกบอลแสง

สถานที่จัดงานมีเสียงดังเล็กน้อย โดยมีผู้คนจำนวนมากพูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

หลังจากที่เฮปเบิร์นโยนบัตรหมายเลขของเธอเข้าไปในลูกบอลแสง ในไม่ช้าเธอก็รู้สึกถึงสายตาแปลกๆ มากมายที่จ้องมาที่เธอ จากนั้นเธอก็ค้นพบว่า นอกจากเธอแล้ว ก็ไม่มีนักเวทย์คนอื่นแม้แต่คนเดียวที่เข้าร่วมในการจับฉลาก

เทพมิติถังหลิงบนท้องฟ้า รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยในเวลานี้ และสงสัยว่าคำเตือนของเธอนั้นคลุมเครือเกินไปหรือไม่ เธอเพียงต้องการให้รีบต่อสู้และจบเกมอย่างรวดเร็ว เพื่อที่เธอจะได้ขับไล่แขกที่ไม่ได้รับเชิญเหล่านี้ออกไปและเริ่มการเฉลิมฉลองต่อไป แต่เหตุใด ถึงยังมีเด็กสาวตาบอดเช่นนี้ออกมาสมัครได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เธออยู่ในระดับห้าเท่านั้น?

หลังจากที่เฮปเบิร์นโยนบัตรหมายเลขออกไป ข้าถึงพบว่าไม่มีนักเวทย์คนใดเลยที่เข้าร่วมในการจับฉลากครั้งนี้ แย่จริงๆ เธอคงไม่ได้เป็นคนโง่คนเดียวที่ออกไปใช่ไหม? ข้าควรหนักแน่นกว่านี้ และหยุดเธอไว้ให้ได้

ให้ตายเถอะ ทำไมทุกครั้งที่เธอมองมาด้วยดวงตา กลมโตคู่นั้น ข้าถึงปฏิเสธเธอไม่ได้เลย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับข้า?

ซีตี๋บอกข้า แต่ไม่ได้บอกเธอ เขาคิดว่าเธอจะไม่เข้าร่วมหรือไม่?

ในขณะนี้ ร่างเพรียวบาง ลอยลงมาจากทิศทางของหอคอยเทพเจ้า และบินไปในทิศทางของลูกบอลแสงสีเงิน ดูเหมือนร่างของเธอจะกะพริบ และทุกครั้งที่เธอกระพริบ ก็จะเข้าใกล้ใจกลางจัตุรัสมากขึ้น

เธอเป็นผู้หญิงที่หน้าตาสะสวย สวมกระโปรงยาวสีขาวเงิน มีผมยาวสยายอยู่ด้านหลัง ร่างกายของเธอเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความศักดิ์สิทธิ์ ใบหน้าเคร่งขรึม และมีดวงตาคู่หนึ่งที่ดูว่างเปล่าเล็กน้อย

มีลำแสงพุ่งออกมาจากมือของเธอ มันคือบัตรลงทะเบียน และบัตรทะเบียนก็บินตรงเข้าไปในลูกบอลแสงและหายไป

ในขณะนี้ มีร่างสองร่างลงมาจากท้องฟ้า นั่นคือ ออกัสตินซึ่งเป็นตัวแทนของจักรวรรดิออตโตมัน และ ตี้หลัวเทียน ซึ่งเป็นตัวแทนของจักรวรรดิกุสตา เมื่อลงถึงพื้น ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาไปเอาบัตรลงทะเบียนมาจากไหน บัตรลงทะเบียนทั้งสองบินออกไป และแต่ละแผ่นก็หายเข้าไปในลูกบอลแสงสีเงิน

เมื่อดูจากการลงทะเบียน ก็ไม่มีนักเวทย์คนใดในจักรวรรดิสมันออกมาเลย เมื่อเห็นฉากนี้ข้าก็รู้สึกแย่ในใจทันที ข้าส่งข้อความถึงเฮปเบิร์นในทันที : “ไม่ว่าคุณจะเจอใครหลังจากนี้ คุณต้องยอมรับความพ่ายแพ้ทันที คนเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่คุณจะรับมือได้"

เฮปเบิร์นมองกลับมาที่ข้าด้วยรอยยิ้มที่สดใส พลันโบกมือมาทางข้า เมื่อมองดูสีหน้าที่มุ่งมั่นของเธอ ข้าก็รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ

แม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะชอบล้อเล่นกับข้าอยู่เสมอ แต่เธอก็มีจิตใจที่หนักแน่นและมั่นคง เนื่องจากความสามารถของเธอพัฒนาขึ้นเธอจึงฝึกฝนอย่างหนัก นอกเหนือจากการดูแลชีวิตประจำวันของข้าแล้ว เธอยังฝึกฝนเกือบทุกช่วงเวลาอีกด้วย

ข้ารู้ว่าเธออยากเป็นนักเวทย์ที่ทรงพลังจริงๆ มิฉะนั้น เธอคงไม่สามารถไปถึงจุดสูงสุดของระดับที่ห้าได้ ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปีนับจากจุดเริ่มต้นเดิมของเธอ

เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะไม่รู้ ว่าศัตรูตรงหน้าของเธอเหล่านี้แข็งแกร่งแค่ไหน แต่เธอหวังว่าจะทะลวงผ่านระดับที่หก ผ่านแรงกดดันจากศัตรูที่แข็งแกร่งตรงหน้า นี่มันคือเธอจริงๆ

หากเป็นเพียงการแข่งขันภายในอาณาจักรสมัน แน่นอนว่ามันไม่มีอะไร แต่มันไม่ใช่! เพราะนี่คือการต่อสู้ระหว่างประเทศ หากเธอเผชิญหน้ากับคนนอกสองคนนั้น พวกเขาจะไม่แสดงความเมตตาอย่างแน่นอน

ผู้หญิงในชุดสีขาวเงิน มองเฮปเบิร์นด้วยความประหลาดใจ: “เธอคือ?”

“สวัสดี ฉันชื่อเฮปเบิร์นมาจากหอคอยมนตาเมืองดีฌง” “เสื้อผ้าของเฮปเบิร์นดูเรียบง่ายกว่าผู้หญิงคนนั้นมาก ถึงแม้จะเป็นแค่กระโปรงยาวธรรมดา ที่สวมอยู่บนตัวของเธอ แต่ก็ยังไม่สามารถบดบังรัศมีจากตัวเธอได้

ดวงตาของเธอดูมีชีวิตชีวา ด้วยจิตวิญญาณที่กล้าหาญ และแก้มที่สวยงามของเธอ เปรียบเสมือนผลงานชิ้นเอกที่สมบูรณ์แบบที่สุดจากสวรรค์ แม้ว่าเธอจะสวมเพียงชุดคลุมเวทย์มนตร์ธรรมดา แต่ก็ยังไม่สามารถปกปิดรูปลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบ และอารมณ์อันสูงส่งของเธอได้ เมื่อยืนอยู่ข้างผู้หญิงที่สวมชุดคลุมเวทย์มนตร์อันหรูหรา ก็ให้ความรู้สึกไม่ด้อยไปกว่ากันเลยแม้แต่น้อย

"การจับสลากเริ่มต้นขึ้นแล้ว" เทพมิติถังหลิง บนท้องฟ้า แทบรอไม่ไหวอีกต่อไป เธอสั่งจับฉลากโดยไม่ลังเล และฉากที่เราอยากเห็นน้อยที่สุดก็เกิดขึ้น

ลูกบอลแสงสีขาวเงินกะพริบแสงวาบ และในเวลาเพียงชั่วครู่ แสงสองดวงก็บินออกมา กลายเป็นตัวเลขขนาดใหญ่สองตัวที่ปรากฏขึ้นในอากาศ

ข้ารู้หมายเลขของเฮปเบิร์น และเห็นได้ชัดว่าสองคนในคู่แรกนี้ไม่ใช่เธอ ไม่เลวไม่เลวยังมีเวลาให้ข้าได้โน้มน้าวเธออีกครั้ง

"ในเกมแรก เจ้าหญิงอินาปะทะเจ้าชายออกัสตินแห่งจักรวรรดิออตโตมัน"

เห็นได้ชัดว่าเจ้าหญิงอินา เป็นผู้หญิงที่เพิ่งออกมาจากหอคอยเทพเจ้า หลังจากรู้ว่าใครเป็นคู่ต่อสู้ของเธอ เธอก็จ้องมองไปที่ใบหน้าหล่อเหลาของออกัสติน

ออกัสตินจ้องไปที่อินาด้วยดวงตาลึกล้ำ พลันโค้งคำนับเล็กน้อยเพื่อทักทายเธอ และอินาก็ตอบรับกลับเช่นกัน

“สนามรบของเราน่าจะลอยอยู่กลางอากาศ” ออกัสตินยิ้มเล็กน้อยให้อินา

อินาพยักหน้า: “เป็นเช่นนั้น เชิญฝ่าบาท”

“ฝ่าบาท เชฺิญ” ออกัสตินทำท่าตอบรับคำเชิญ ช่วงเวลาต่อมา ปีกแสงสีทองสุกใสคู่หนึ่งทอดยาวออกไปด้านหลัง ปีกแสงกระพืออย่างแรง อุ้มร่างของเขาทะยานขึ้นไป

ผู้แข็งแกร่งหลายคนในท้องฟ้าได้แยกย้ายกันไปแล้ว และถูกแบ่งออกเป็นสามฝ่ายเพื่อเฝ้าดูการต่อสู้

จักรวรรดิสมันต้องการประหยัดเวลาและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าโดยเร็วที่สุด เพื่อให้สามารถจัดงานเฉลิมฉลองต่อไปได้ สำหรับจักรวรรดิออตโตมันและจักรวรรดิกุสตา ไม่ว่าจะชนะหรือล่าช้าก็เป็นทางเลือกที่ดีมาก

สถานะของอินา ในจักรวรรดิสมัน เทียบได้กับสถานะของออกัสตินในจักรวรรดิออตโตมัน และสถานะของ ตี้หลัวเทียนในจักรวรรดิกุสตาอย่างเห็นได้ชัด

การประลองนี้ เป็นการปะทะกันของผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดโดยตรง ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาได้มากที่สุดโดยธรรมชาติ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมนักเวทย์คนอื่นไม่เข้าร่วมด้วย

ขณะที่ทุกคนกำลังจับตามองพวกเขาอยู่กลางอากาศ ข้าก็รีบไปหาเฮปเบิร์นและดึงเธอกลับมา

“คุณโง่หรือป่าว ไม่เห็นเหรอ ว่านี่เป็นข้อพิพาทระหว่างจักรวรรดิ คุณจะไปมีส่วนร่วมทำไม พวกเขาจะไม่แสดงความเมตตาในการต่อสู้แบบนี้” ข้าพูดกับเฮปเบิร์นด้วยความโกรธ

เฮปเบิร์นเดินกลับมาพร้อมข้าอย่างเชื่อฟัง เธอยิ้มแล้วพูดว่า: “ฉันรู้ แต่ฉันยังต้องเข้าร่วม มีเพียงการเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งเท่านั้น ฉันถึงจะฝ่าทะลวงได้

ไม่ต้องกังวล จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับฉัน" ใช่แล้ว ยังมีเธออยู่ไม่ใช่เหรอ ถ้าฉันตกอยู่ในอันตราย เธอก็ยอมรับความพ่ายแพ้แทนฉันก็ได้แล้ว”

ข้าปวดหัวและไม่สามารถทำอะไรกับผู้หญิงคนนี้ได้เลย

ในขณะนี้ ทั้งอินา และ ออกัสติน ต่างก็หยุดอยู่กลางอากาศ พวกเขาอยู่สูงขึ้นไปบนอากาศประมาณสามร้อยเมตร ส่วนผู้แข็งแกร่งที่สุด กำลังเฝ้าดูพวกเขาจากที่สูงกว่า

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการแข่งขันครั้งนี้ จะแสดงให้เห็นถึงการปะทะกันระหว่างคนรุ่นใหม่ที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิสมัน และจักรวรรดิออตโตมัน ใครก็ตามที่ชนะ จะทำให้ประเทศของพวกเขา ได้เปรียบในด้านโมเมนตัมอย่างไม่ต้องสงสัย


Share:

📃นิยาย ผนึกเทพบัลลังก์ราชัน1.5(Side Story) ตอนที่17 : อัศวินมังกรและผู้อัญเชิญ

#นิยายผนึกเทพ1.5

ผนึกเทพบัลลังก์ราชันย์ ภาค1.5 : ตำนานเทพผู้พิทักษ์สวรรค์ (Side Story)


ตอนที่ 17 อัศวินมังกรและผู้อัญเชิญ
__________________________________

อัศวินมังกรเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังที่สุดในจักรวรรดิออตโตมัน เช่นเดียวกับเทพมนตราในจักรวรรดิสมัน พวกเขามีสถานะที่สูงส่งอย่างยิ่งในจักรวรรดิของเขา ว่ากันว่าในจักรวรรดิออตโตมันมีอัศวินมังกรทั้งหมดเจ็ดคน

ในเวลานี้ เห็นได้ชัดว่ามีคนยืนอยู่บนมังกรยักษ์ทั้งสี่ตัว บางคนสวมชุดธรรมดา และบางคนสวมชุดเกราะ แแต่ทั้งหมดกลับเปล่งรัศมีอันทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้ เมื่อพวกเขาปรากฏตัวขึ้น การดึงองค์ประกอบต่างๆ ที่ทำโดยเทพมนตราทั้งหกแห่งอาณาจักรสมัน ดูเหมือนจะถูกปิดกั้นด้วยกำแพงในฉับพลัน และประสิทธิภาพการดูดซับก็ลดลงอย่างมาก

“ฟ่อ! ฟ่อ! ฟ่อ!” เสียงแปลก ๆ ดังขึ้นบนท้องฟ้าอีกด้านหนึ่ง ท้องฟ้าทั้งหมดดูเหมือนจะมืดลงในขณะนี้ ในท่ามกลางหมู่เมฆ มีหัวขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางหลายสิบเมตรโผล่ออกมา เห็นได้ชัดว่ามันเป็นหัวงูขนาดใหญ่โดยมีร่างสามร่างยืนอยู่บนหัวงู ภายในเมฆ ยังได้ยินเสียงคำรามแผ่วเบานับไม่ถ้วนคล้ายกับว่ามีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนซ่อนอยู่ภายใต้เมฆดำมืดนี้

“นี่คืออะไร” ข้าหันไปหาเฮปเบิร์นที่อยู่ข้างๆ แล้วถาม แต่เฮปเบิร์นก็อยู่ในอาการงุนงงเช่นกัน และเห็นได้ชัดว่าเธอเองก็ไม่รู้

“ผู้สื่อวิญญาณ พวกผู้สื่อวิญญาณจากจักรวรรดิกุสต้า ไม่น่าเชื่อว่าพวกผู้สื่อวิญญาณจะมาเยือนถึงสามคน!” พอได้ยินคำว่า “ผู้สื่อวิญญาณ” ก็รู้ทันทีว่าผู้มาเป็นใคร

บนทวีปปฐมกาลแห่งนี้ มีสามจักรวรรดิใหญ่ ได้แก่ จักรวรรดิสมันที่มีนักเวทย์เป็นแกนหลัก จักรวรรดิออตโตมันที่มีนักรบและอัศวินเป็นแกนหลัก และจักรวรรดิกุสตา ที่มีผู้อัญเชิญเป็นแกนหลัก

พิธีใหญ่ในวันนี้ของจักรวรรดิสมัน ช่างน่าอภิรมย์จริงๆ! ที่นี่พวกเขาดูดซับองค์ประกอบมหาศาลในอากาศ และหลอมรวมเข้าหอคอยเทพเจ้า ผู้คนจากอีกสองจักรวรรดิไม่ใช่คนโง่ พิธีอันยิ่งใหญ่นี้ดึงดูดอัศวินมังกรสี่ตัวจากจักรวรรดิออตโตมัน และผู้สื่อวิญญาณสามคนจากจักรวรรดิกุสตา

อา! สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตในระดับเดียวกับเทพมนตรา มีผู้แข็งแกร่งชั้นยอดอยู่ตรงหน้าถึงเจ็ดคน ซึ่งมากกว่าเทพมนตราผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิสมันที่มีเพียงหกคนเท่านั้น หากพวกมันไม่ได้มาเพื่อก่อเรื่อง ข้ายอมเขียนชื่อกลับหลังเลย! ช่างครึกครื้นจริงๆ

ทันใดนั้นเสียงของซีตี๋ ก็ดังเข้ามาในหูของข้า : "ออสติน ไม่ต้องออกไปจับฉลาก พวกที่มาคงไม่ได้มาดี"

ข้าใช้จิตสำนึกเพื่อล็อคความผันผวนทางจิตของเขา และอดไม่ได้ที่จะถามเขาผ่านพลังจิตว่า “ในครั้งก่อนๆ ก็เป็นเช่นนี้เหรอ?”

ซีตี๋กล่าวว่า: “ไม่ ก่อนหน้านี้ พูดโดยทั่วไปแล้ว เมื่อเราจัดพิธีใหญ่เพื่อดูดซับพลังงานธาตุบางส่วน พวกเขาแค่ตั้งกำแพงกั้นเขตแดนของตนเองเป็นส่วนใหญ่ เพื่อป้องกันไม่ให้เราดูดซับพลังงานนั้น แต่คราวนี้ผู้แข็งแกร่งของทั้งสองจักรวรรดิมารวมกัน ซึ่งอาจก่อปัญหาได้ ยังไงก็ยังไม่ต้องเข้าร่วม”

“ข้าขี้เกียจแม้แต่จะขยับตัว เป็นแบบนี้ก็ดี ปล่อยให้จักรวรรดิสมันจัดการปัญหาด้วยตัวเอง” พอได้ยินว่าไม่ต้องลงแข่ง ข้าก็รู้สึกดีใจ คอยชมการแสดงอย่างสบายใจดีกว่า!

แม้ว่าคราวนี้ผู้แข็งแกร่งจากทั้งสองจักรวรรดิที่มาในครั้งนี้จะมีถึงเจ็ดคน แต่จักรวรรดิสมันก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล เพราะที่นี่คือเมืองหลวงเจียหม่า ของจักรวรรดิสมัน ซึ่งมีหอคอยเทพเจ้าตั้งอยู่ ไม่ว่าผู้แข็งแกร่งจะมาสักกี่คน ก็ยากที่จะหยุดยั้งมันได้

“เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองใหญ่ในจักรวรรดิของเรา ผู้คนจากออตโตมันและกุสตา มาที่นี่ทำไม?” เทพมนตราสาวที่นำบูชาในครั้งแรกกล่าวถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา

อีกด้านหนึ่งทางฝั่งของอัศวินมังกรทั้งสี่ ผู้นำที่อยู่เหนือหัวมังกรสีฟ้าตัวใหญ่ ชายผู้มีใบหน้าเด็ดเดี่ยวมีผมสีขาวยิ้ม พลันกล่าวว่า: “ไม่เจอกันนาน สบายดีไหม ผู้พิทักษ์แห่งมิติที่เคารพ เทพมนตราถังหลิง”

เทพมนตราถังหลิง พูดอย่างเย็นชา : "เยี่ยฮ่าวหาน ข้าไม่สนใจที่จะเสวนากับเจ้า รีบขี่สัตว์เลื้อยคลานธาตุลมของเจ้าและออกจากเมืองหลวงเจียหม่าโดยเร็วที่สุด มิฉะนั้น อย่าตำหนิหากข้าเสียมารยาท”

พี่ถังหลิง อย่าใจร้ายขนาดนั้นนะ พวกเรากุสตา ก็มาร่วมแสดงความยินดีกับท่านด้วย “เสียงผู้ชายที่ชัดเจนอีกเสียงหนึ่งก็ดังมาจากหัวงูตัวใหญ่ฝั่งตรงข้าม มันเป็นชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะอายุเพียงยี่สิบปี แต่เขายืนอยู่ตรงกลางระหว่างผู้สื่อวิญญาณทั้งสาม และความผันผวนดวงตาของเขา ดูไม่สอดคล้องกับรูปร่างหน้าตาของเขามากนัก

“หวังคงเฉิง เจ้าก็ไม่ใช่คนดี ในช่วงเวลาที่สำคัญของจักรวรรดิเรา เจ้ายังมาที่นี่เหมือนกัน หากเจ้าต้องการก่อปัญหาในเทศกาลเฉลิมฉลองในจักรวรรดิของเรา ถ้าอย่างนั้นอย่าตำหนิที่ข้าจะเสียมารยาท เราจะไม่ยอมให้พวกเจ้ามาแสดงความยโสโอหังในเมืองหลวงเจียหม่าน!”

อัศวินมังกรคราม เยี่ยฮ่าวหานยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า: “เทพมนตราถังหลิง อย่าพึ่งเข้าใจผิด เหตุผลที่เรามาที่นี่ ประการแรก ก็เพื่อแสดงความยินดี ในพิธีอันยิ่งใหญ่ในจักรวรรดิของเจ้า

และอีกประการหนึ่ง คือข้าได้ยินมาว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในพิธีอันยิ่งใหญ่ในจักรวรรดิของเจ้า คือการประลองของคนรุ่นใหม่ บังเอิญว่ามีคนหนุ่มสาวที่โดดเด่นบางคน ในจักรวรรดิของพวกเรา ทั้งออตโตมันและกุสตา ซึ่งเพิ่งประสบความสำเร็จในการฝึกฝน และหวังว่าจะได้เข้าร่วมการแข่งขัน หลังจากการแข่งขันจบลง พวกเราก็จะกลับทันที ไม่ได้มีเจตนาที่จะเป็นศัตรูกับจักรวรรดิของเจ้า”

พวกเขากำลังพูดคุยกันกลางอากาศ และข้าก็รู้คร่าวๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นจากซีตี๋แล้ว ปรากฎว่า ไม่สามารถเปิดใช้งานวงเวทย์ของ หอคอยเทพเจ้าได้ตลอดเวลา การสะสมจะใช้เวลานานก่อนที่จะสามารถเปิดใช้งานได้อีกครั้ง เมื่อถึงเวลาเปิดใช้งานวงเวทย์ ก็จะเป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองด้วย

ในการเฉลิมฉลองแต่ละครั้ง ยิ่งหอคอยแห่งพระเจ้าเปิดใช้งานนานมากเท่าไหร่ ก็จะดูดซับองค์ประกอบได้มากเท่านั้น มันจะยิ่งมีประโยชน์ต่อการพัฒนาของอาณาจักรสมันในรอบต่อไปมากขึ้น ในทางกลับกันก็จะส่งผลเสียโดยธรรมชาติ

ในอดีต อีกสองจักรวรรดิตอบสนองต่อการเฉลิมฉลองของจักรวรรดิสมัน ด้วยวิธีการป้องกัน แต่คราวนี้พวกเขาใช้วิธีการเชิงรุก เห็นได้ชัดว่าทั้งสองจักรวรรดิร่วมมือกันปราบปรามจักรวรรดิสมัน เพื่อให้หอคอยเทพเจ้า สามารถดูดซับองค์ประกอบได้น้อยลง เพราะหอคอยเทพเจ้ามีเวลาจำกัดในการเปิดใช้งานในแต่ละครั้ง และไม่สามารถคงสภาพไว้ได้ตลอดไป

พวกเขาไม่จำเป็นต้องลงมือ เพียงแค่ต้องถ่วงเวลาต่อไป เมื่อผลของวงเวทย์ของหอคอยเทพเจ้าหายไป เป้าหมายของพวกเขาก็จะบรรลุเป้าตามวัตถุประสงค์ในการมาครั้งนี้

“หนึ่งจักรวรรดิ หนึ่งคน เริ่มแข่งขันเลย ไม่อย่างนั้นอย่าโทษข้า ที่จะปฏิบัติต่อพวกเจ้าเหมือนผู้บุกรุก” เทพมิติถังหลิงไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย น้ำเสียงที่เย็นชาของเขาดูเหมือนจะแช่แข็งพื้นที่ทั้งหมด

เทพมนตราอีกห้าคนไม่เคยพูดอะไรตั้งแต่ต้นจนจบ และปล่อยให้ถังหลิงควบคุมสถานการณ์โดยรวม นี่แสดงให้เห็นว่า สถานะของเธอในหมู่เทพมนตรานั้นสูงแค่ไหน

ข้าเคยได้ยินมาก่อนว่า เทพมนตราที่ทรงพลังที่สุดในหอคอยเทพเจ้านั้นมีพลังในระดับกึ่งเทพ และเป็นเสาหลักของจักรวรรดิสมัน ในความคิดของข้าเธอน่าจะเป็นคนนั้น

อย่างไรก็ตาม อารมณ์ของเทพมิติคนนี้ไม่ค่อยดีนัก! เธอตอบตกลงอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะเธอไม่ต้องการเสียเวลา จึงต้องการแก้ไขปัญหาที่อยู่ตรงหน้าโดยเร็ว เพื่อที่เธอจะได้เปิดใช้งานหอคอยเทพเจ้า และดูดซับองค์ประกอบต่างๆต่อไป

"แน่นอน" เยี่ยฮ่าวหานดูเหมือนจะไม่กล้ายั่วโมโหคนๆ นี้มากเกินไป จึงได้ตอบตกลงทันที

“เราแค่ต้องส่งคนไปคนเดียว” หวังคงเฉิงพูดด้วยรอยยิ้ม แต่มีแสงเย็นๆ กะพริบในดวงตาของเขา

ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังเยี่ยฮ่าวหาน และยืนเคียงข้างเขาบนหัวมังกรสีฟ้าขนาดยักษ์

ชายหนุ่มคนนี้สูงประมาณสองเมตร คิ้วรูปดาบ มีดวงตาที่สดใส รูปลักษณ์หล่อเหลา และวิญญาณนักรบที่แข็งแกร่งดูเหมือนจะระเบิดออกมาจากร่างกายของเขา ชายหนุ่มสวมชุดเกราะสีทอง มีผมยาวสีทอง ซึ่งขับเน้นความสง่างาม ทำให้เขาดูเหมือนวีรบุรุษมากยิ่งขึ้น

“นี่คือเจ้าชายออกัสตินแห่งจักรวรรดิของเรา อายุแค่ยี่สิบห้าปี เขาก็กลายเป็นเตรียมอัศวินมังกรแล้ว ในครั้งนี้เขาจะเป็นตัวแทนจักรวรรดิของเราเข้าแข่งขัน”

เตรียมอัศวินมังกร อายุยี่สิบห้าปีงั้นเหรอ? ซึ่งหมายความว่าบุคคลนี้ ต้องมีมังกรยักษ์อย่างน้อยหนึ่งตัวเป็นสัตว์พาหนะ หลังจากได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าของถังหลิงก็ดูน่าเกลียดเล็กน้อย

ในอีกด้านหนึ่ง บนหัวงูตัวใหญ่ ประตูไฟสีแดงสว่างขึ้นข้างๆ หวังคงเฉิงเดินออกมาพร้อมกับใครอีกคน

เขายังเป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างปานกลาง สีหน้าค่อนข้างเย็นชา มีคิ้วไม้กวาดคู่หนึ่งที่ทำให้ใบหน้าของเขาดูแปลกมาก ทั่วร่างกายของเขายังเปล่งประกายรัศมีดำมืดที่น่ากลัว

หวังคงเฉิงยิ้มและพูดว่า "นี่คือศิษย์ของข้า ตี้หลัวเทียน ซึ่งถือว่าเป็นผู้อัญเชิญอัจฉริยะในจักรวรรดิของเรา คราวนี้จักรวรรดิของเราจะส่งเขาเข้าแข่งขัน"


Share:

📃นิยาย ผนึกเทพบัลลังก์ราชัน1.5(Side Story) ตอนที่16 : เทพมนตราผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหก

#นิยายผนึกเทพ1.5

ผนึกเทพบัลลังก์ราชันย์ ภาค1.5 : ตำนานเทพผู้พิทักษ์สวรรค์ (Side Story)


ตอนที่16 เทพมนตราผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหก
__________________________________

แม้กระทั่งเรื่องการยืน ว่าจะให้ข้ายืนในกลุ่มนักเวทย์ไฟหรือนักเวทย์มืด จู้หรงกับซีตี๋ก็ยังมีข้อโต้แย้งกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สุดท้ายแล้วก็ต้องเป็นข้า ที่ไปโน้มน้าวซีตี๋จนสำเร็จ โดยกล่าวว่าถึงแม้ตัวของข้าจะอยู่ในกลุ่มนักเวทย์ไฟ แต่ใจของข้านั้นอยู่กับนักเวทย์มืด อีกทั้งข้าก็ยังเชี่ยวชาญในเวทมนตร์ธาตุมืดอีกด้วย

จนถึงตอนนี้ซีตี๋ก็คิดไปเองแล้วว่าข้าเลือกเอกวิชาธาตุมืด เพราะการแสดงทักษะในด้านเวทมนตร์มืดของข้านั้น ไม่เคยทำให้เขาผิดหวังเลย

แน่นอนว่าข้าไม่ได้เต็มใจมา แต่ในฐานะนักเวทย์ที่มีผู้รับใช้เวทมนตร์ ข้าทนไม่ได้ที่ผู้รับใช้ไม่ได้อยู่เคียงข้างตัวเอง ในเมื่อเธอไม่ได้เชี่ยวชาญเวทมนตร์ธาตุมืด ดังนั้นออสติน กริฟฟินผู้ยิ่งใหญ่จึงทำได้เพียงมาอยู่เคียงข้างเธออย่างไม่เต็มใจ

“อาหารที่นี่ไม่อร่อยเลยจริงๆ เมื่อไหร่พวกเราจะได้กลับ” ข้าแตะเฮปเบิร์นข้างๆ แล้วพูดอย่างเบื่อหน่าย

“อาจใช้เวลาสองสามวัน ฉันไม่รู้ว่าการแข่งขันจะใช้เวลานานแค่ไหน” เฮปเบิร์นตอบเบาๆ

“เงียบ!” นักเวทย์ที่ยืนอยู่ข้างหน้าตะโกนด้วยเสียงทุ้ม

นั่นคือนักเวทย์จากหอคอยมนตรา ในเมืองหลวงเจียหม่าน ดวงตาของเขามองที่ข้าและเฮปเบิร์น สายตาเผยให้เห็นถึงความดูถูกเล็กน้อย

ข้าที่อารมณ์ไม่ดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอได้ยินแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะโจมตีเขา แต่เฮปเบิร์นก็หยุดเอาไว้ โดยเธอกระซิบว่า “อย่าสร้างปัญหาให้อาจารย์อีกเลย”

ในที่สุดข้าก็สงบลง แต่ก็ยังได้ยินชายคนนั้นพูดอะไรบ้านนอก บ้านนอกสักอย่าง ฟังไม่ชัดเจนนัก

พวกเราไม่ควรเห็นด้วยกับตาเฒ่าสองคนนั้นที่ให้เรามาที่นี่เลยจริงๆ หากอยู่ในเมืองดีฌงยังดีกว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผนึกบนร่างกายของข้าค่อยๆ คลายออกแล้ว และมันยังมีความก้าวหน้าในทุกวัน หากทำต่อไปใช้เวลาอีกไม่กี่ปี ก็สามารถฟื้นฟูกลับไปอยู่ในสถานะสูงสุดได้

การหล่อเลี้ยงในโลกนี้สำหรับข้ามันค่อนข้างดี โดยเฉพาะวิวัฒนาการ ทางร่างกายมนุษย์นั้น มหัศจรรย์จริงๆ เห็นได้ชัดว่ามนุษย์อ่อนแอโดยกำเนิด แต่พวกเขากลับมีอัตราการวิวัฒนาการที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง

ตั้งแต่มาถึงเมืองหลวงเจียหม่าน อารมณ์ของข้าก็ไม่ดีมากนัก ข้าแค่ต้องการรีบทำลายผนึก แต่หลายเหตุการณ์ก็ทำให้ข้าโกรธยิ่งนัก! หากทำให้ออสติน กริฟฟินผู้ยิ่งใหญ่โกรธขึ้นมา ผลลัพธ์สุดท้ายมันคงจะเลวร้ายมาก

ในขณะนี้ เกิดความผันผวนขององค์ประกอบ อย่างรุนแรง ข้าหันไปมองไปในทิศทางที่เกิดการระเบิดของธาตุในทันที และเห็นแสงหลากสีพราวพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าจากยอดแหลมของหอคอยเวทย์มนตร์ในเมืองหลวงเจียหม่าน

ทันใดนั้น รัศมีของแสงหลากสีก็กระเพื่อมออกมา กลายเป็นระลอกคลื่นสีสันสดใสขนาดใหญ่กลางอากาศ ขยายออกไปรอบนอก

เมื่อได้รับอิทธิพลของแสงนี้ นักเวทย์เกือบทั้งหมดในพื้นที่ ก็มีรัศมีแสงจางๆ ปรากฏบนร่างกายของพวกเขา เผยให้เห็นความแวววาวของคุณลักษณะของตนเอง

กระแสแห่งธาตุ! นั่นเป็นกระแสแห่งธาตุอย่างชัดเจน และยังเป็นกระแสแห่งธาตุที่ผสานคุณสมบัติพื้นฐานทั้งหมดไว้ด้วยกัน

ข้าตอบสนองในทันที โดยการอำพรางคุณสมบัติแสงอื่นๆ และปล่อยให้แสงสีแดงปรากฏออกมาเพียงเท่านั้น

เกือบไปแล้ว! กระแสแห่งธาตุนี้เกือบกระตุ้นให้เขาปลดปล่อย พลังงานขององค์ประกอบทั้งหมดออกมาแล้ว ตัวข้าในตอนนี้ไม่ได้มีเพียงคุณสมบัติสามประการเหมือนเช่นสองสามปีก่อนอีกแล้ว หากปลดปล่อยพลังงานออกมาทั้งหมด จะต้องทำให้พวกเขาหวาดกลัวอย่างแน่นอน

เฮ้อๆๆ แม้แต่เฮปเบิร์นก็ยังไม่รู้ ว่าตอนนี้ข้ามีคุณลักษณะมากมายเพียงใด

ในเวลานี้ ท้องฟ้าเปลี่ยนไปอีกครั้ง แสงหลากสีสันที่ปล่อยออกมา จากหอคอยเวทมนตร์ก็แยกออกจากกัน ก่อนที่รัศมีแสงแต่ละชนิดจะกระจายออกไปคนละทิศ สอดคล้องกับรูปแบบของนักเวทย์ด้านล่าง จากนั้นก็มีหกร่าง ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ซึ่งสอดคล้องกับรูปแบบหกธาตุตามลำดับ ยกเว้นในทิศทางของธาตุมืดเท่านั้น

ท่ามกลางรัศมีของธาตุองค์ประกอบที่หนาแน่น ทำให้ไม่สามารถมองเห็นทั้งหกร่างนี้ได้อย่างชัดเจนมากนัก แต่จากรูปลักษณ์ของพวกเขา บวกกับกระแสแห่งธาตุที่หนาแน่นกลางอากาศ ที่กำลังควบแน่นเข้าหาพวกเขา ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ก็คือ เทพมนตราทั้งหกของเมืองหลวงเจียหม่าน แห่งจักรวรรดิสมัน

ท่ามกลางท้องฟ้าที่แบ่งออกเป็นหกสี จากองค์ประกอบเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งทำให้น่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง

ในขณะนี้พลเรือนจำนวนมากภายในเมืองหลวงเจียหม่าน กำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น โดยบูชาไปในทิศทางของหอคอยเทพเจ้า สำหรับพวกเขาแล้ว นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการนมัสการและขอพร

ข้าไม่จำเป็นต้องใช้สายตาในการมอง แค่สามารถสัมผัสสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยจิตสำนึก ภายในใจข้าตอนนี้ กลับรู้สึกรังเกียจพฤติกรรมของพวกเขาเป็นอย่างมาก

ทำเช่นนี้มีประโยชน์อะไร? มันเป็นไปได้เหรอ ว่าการบูชาสามารถปลุกการรับรู้ขององค์ประกอบเวทย์มนตร์ได้?

ในขณะนี้ เสียงผู้หญิงที่เย็นชาดังขึ้นจากกลางอากาศ

เทพแห่งธาตุผู้ยิ่งใหญ่ ภายใต้การปกปักษ์รักษาของพระองค์ เมืองหลวงเจียหม่านจึงเต็มไปด้วยองค์ประกอบที่อุดมสมบูรณ์ และพลังเวทมนตร์มากมาย

สถานที่แห่งนี้จะอยู่ภายใต้แสงอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ตลอดไป และพลเมืองของจักรวรรดิสมันทุกคน จะเป็นผู้ศรัทธาของพระองค์ และในวันนี้ นำโดยองค์ประกอบมิติ ขออธิษฐานต่อพระองค์เพื่อให้พระองค์ปกปักษ์รักษาสถานที่แห่งนี้จากความไม่แน่นอนต่างๆ ตลอดไป”

แสงสีเงินเจิดจ้าบานสะพรั่งกลางอากาศ และความแวววาว พราวพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ต่อมาแสงสีเงินกลายเป็นรัศมีสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนในอากาศและควบแน่นเป็นรูปร่างคล้ายพายุทอร์นาโด องค์ประกอบธาตุมิติจำนวนมากรวมตัวกันจากทุกทิศทุกทาง และถ่ายเทลงสู่หอคอยเทพเจ้าด้านล่าง

ข้ารู้สึกประหลาดใจกับฉากนี้ หอคอยเทพเจ้า ค่อนข้างน่าสนใจจริงๆ มันกลืนกินและดูดซับองค์ประกอบเวทมนตร์แปลกปลอมที่ถูกถ่ายเทเข้าไป จากนั้นข้าก็รู้สึกได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นบนพื้นโลกหรือในอากาศ องค์ประกอบธาตุมิติ มีความเปลี่ยนแปลง มันอุดมสมบูรณ์ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ในเวลานี้ หอคอยเทพเจ้าดูเหมือนจะกลายเป็นแกนกลางของเมืองหลวงเจียหม่านทั้งหมด จากการดูดซับพลังงานจากโลกภายนอกและรวมพลังงานเข้ากับเมือง

แม้ว่าข้าจะมีความรู้ไม่มากนัก เกี่ยวกับภูมิศาสตร์ของทวีปนี้ แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะเฮปเบิร์นมักจะคุยกับข้าเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ มากมายอยู่เสมอ ทำให้ข้าแน่ใจว่าทิศทางของการดูดซับองค์ประกอบ ควรจะมีเป้าหมายไปทางอีกสองจักรวรรดิ

พลังของเทพมนตราคนนี้ค่อนข้างแข็งแกร่งจริงๆ เธออาศัยความเข้าใจของเธอ เกี่ยวกับองค์ประกอบต่างๆ เพื่อดูดซับองค์ประกอบมิติในวงกว้าง

ธาตุในอากาศกำลังหลั่งไหล และความเข้มข้นของธาตุที่มีคุณสมบัติต่างกัน ก็แตกต่างกันไปตามที่ต่างๆ สิ่งที่เธอทำนั้น เทียบเท่ากับการ ดูดเอาองค์ประกอบมิติบางส่วน ที่แต่เดิมไหลเวียนอยู่ในประเทศอื่นๆเข้ามา

ภายใต้สถานการณ์ปกติ แน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่มีความหมาย แต่แตกต่างกับหอคอยเทพเจ้า

หอคอยเทพเจ้าดูดซับองค์ประกอบแปลกปลอมเหล่านี้โดยตรง และเสริมความแข็งแกร่งให้กับองค์ประกอบในเมืองหลวงเจียหม่าน ผ่านค่ายกล ขนาดใหญ่เป็นพิเศษ ทำให้องค์ประกอบคุณลักษณะนี้ของเมืองมีความอุดมสมบูรณ์มาก

ไม่น่าแปลกใจเลยที่จักรวรรดิสมัน จะสร้างเมืองหลวงขึ้นใกล้กับชายแดนของอีกสองจักรวรรดิ อย่างแรกเพื่อการป้องกัน และอีกอย่าง ก็เพื่อจะดูดซับองค์ประกอบใช่ไหม? น่าสนใจไม่น้อย!

“ข้าคือตัวแทนของธาตุไฟ”

“ข้าคือตัวแทนของธาตุน้ำ”

....

เทพมนตราอีกห้าคนต่างกำลังร่ายคาถา และองค์ประกอบเวทมนตร์ต่างๆ ก็เริ่มรวมตัวกันอย่างรวดเร็วไปยังหอคอยเทพเจ้า

เห็นได้ชัดว่า ไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้นที่ลงมือ แต่ยังรวมถึงนักเวทย์ที่ทรงพลังคนอื่นๆ ในหอคอยเทพเจ้าด้วย แม้ว่านักเวทย์เหล่านั้นจะยังไม่ถึงระดับเทพมนตรา แต่ระดับพลังของพวกเขาก็ไม่ต่ำ ในหมู่คนพวกนี้ ข้ายังสัมผัสได้ถึงลมปราณของซีตี๋และจู้หรง พวกเขาก็ต้องอยู่ในหมู่คนเหล่านี้ด้วย

นี่คือการดูดซับพลังงานธาตุของคุณลักษณะต่างๆ ของเมืองหลวงเจียหม่าน เพื่อให้สามารถรวบรวมพลังงานได้มากขึ้นที่นี่ ทำให้เหมาะสำหรับนักเวทย์เพื่อใช้ในการฝึกฝนและสำแดงเวทมนตร์ได้มากขึ้น พิธียิ่งใหญ่กลับกลายเป็นแบบนี้!

สำหรับสาเหตุที่จัดพิธีใหญ่ทุกๆ สองสามปี อาจเป็นเพราะองค์ประกอบในพื้นที่ บริเวณใกล้กับอีกสองจักรวรรดิได้ถูกดูดซับไปเป็นจำนวนมาก พวกมันจึงจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูโดยธรรมชาติ

อาศัยค่ายกล เวทมนตร์ขนาดใหญ่ที่มีหอคอยพระเจ้าเป็นแกนกลาง ในการดูดซับและเปลี่ยนถ่ายองค์ประกอบ โดยใช้ความสามารถของนักเวทย์ผู้ทรงพลังมากมาย เพื่อดึงดูดองค์ประกอบ ข้าต้องบอกเลยว่าความคิดนี้ค่อนข้างใหม่! ในที่สุดออสติน กริฟฟินผู้ยิ่งใหญ่ ก็เริ่มสนใจนิดหน่อยแล้ว

ทันใดนั้น เสียงคำรามของมังกรก็ดังก้องไปทั่วท้องฟ้า อย่าถามว่าทำไมข้าถึงรู้ ว่านี่คือเสียงคำรามของมังกร นั่นเป็นเพราะครั้งหนึ่ง ข้าเคยกลายร่างเป็นคิเมียรา และก็คำรามเสียงคล้ายๆกัน

ในท้องฟ้าซึ่งแต่เดิมถูกควบแน่นด้วยพลังงานธาตุจำนวนมหาศาล ก็เกิดแสงจ้าส่องประกายราวกับดวงอาทิตย์ นั่นไม่ใช่แสงขององค์ประกอบ แต่ที่ปะปนอยู่นั้นคือความผันผวนของพลังงานเลือดที่รุนแรงมาก

แสงที่แข็งแกร่งค่อยๆ กลายเป็นสี่กลุ่มกลางอากาศ ในแสงนั้น มีร่างใหญ่สี่ร่างลอยอยู่บนท้องฟ้า เห็นได้ชัดว่าเป็นมังกรยักษ์สี่ตัวที่มีความยาวมากกว่าร้อยเมตร พวกมันกางปีกและปลดปล่อยพลังงานที่ผันผวนอย่างรุนแรง


Share:

📃นิยาย ผนึกเทพบัลลังก์ราชัน1.5(Side Story) ตอนที่15 : วงแหวนไฟปรปักษ์

#นิยายผนึกเทพ1.5

ผนึกเทพบัลลังก์ราชันย์ ภาค1.5 : ตำนานเทพผู้พิทักษ์สวรรค์ (Side Story)


ตอนที่15 วงแหวนไฟปรปักษ์
__________________________________

“นายท่าน คุณจะจ่ายบิลได้เมื่อไหร่?” พนักงานเสิร์ฟมองมาที่ข้าด้วยสายตาไม่เป็นมิตร

“ข้า... พี่สาวข้ากำลังกลับไปเอาเงินอีกสักพักจะกลับมาจ่าย” ข้าตอบอย่างเขินอายเล็กน้อย

“ได้โปรดตามผมไปด้านหลังสักครู่” พนักงานเสิร์ฟพูดอย่างใจเย็น

“ไม่ ข้าต้องรอเธออยู่ที่นี่ ไม่เช่นนั้นเธอจะต้องกังวลเมื่อเธอกลับมา” ข้าไปไหนไม่ได้

“คุณไปกับฉันดีกว่า” พูดจบพนักงานก็คว้ามาที่แขนของข้า แล้วพยายามดึงข้าออกไป แต่ออสติน กริฟฟินผู้ยิ่งใหญ่ จะถูกดึงออกไปง่ายๆ เช่นนั้นเหรอ?

“รีบตามผมมาดีกว่า อย่าให้ต้องใช้กำลัง! มันจะรบกวนแขกท่านอื่น” พนักงานดึงสองสามครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ ใบหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไป พนักงานคนอื่นๆ ที่เหลือ ก็มาล้อมอยู่รอบๆแล้ว

เมื่อข้าเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ และเป็นไปไม่ได้ที่จะหลีกเลี่ยง จึงได้เปิดใช้งานวงแหวนไฟปรปักษ์ทันที

วงแหวนไฟปรปักษ์นี้มีระยะรัศมีสามเมตร ปกคลุมพนักงานทั้งสามคน รวมถึงชายหนุ่มคนหนึ่ง จากสองคนที่ยืนรอดูเรื่องสนุกอยู่ข้างๆ ไปพร้อมกัน

ชายหนุ่มอีกคนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ขณะที่เขาเฝ้าดูเพื่อนของเขากลายเป็นขี้เถ้าไปต่อหน้าต่อตา และทุกสิ่งรอบตัวข้าก็ว่างเปล่าทันที

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วมาก ภายในร้านอาหารที่เดิมทีมีเสียงดัง ก็พลันเงียบลงในทันที จากนั้นมีเสียงของใครบางคนโพล่งออกมาว่า‘นักเวท!’

ชายหนุ่มผู้รอดชีวิต เดินโซเซถอยหลังไปสองสามก้าว แล้วจ้องมองมาที่ข้าอย่างเหม่อลอย

ข้าทำอะไรไม่ถูก และรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย มนุษย์นั้นเปราะบางขนาดนี้เลยเหรอ?

ในขณะที่ข้าปล่อยวงแหวนไฟปรปักษ์ และเพียงแค่ความคิดเดียวมันก็ถูกขยายออกไป ข้าเพียงต้องการกระแทกพวกเขาให้ล้มลง แค่คาดไม่ถึงว่ามนุษย์จะอ่อนแอขนาดนี้ อ่าใช่! มนุษย์ธรรมดาดูเหมือนจะอ่อนแอมาก

แต่ข้าก็ไปไหนไม่ได้ ต้องรอเฮปเบิร์นอยู่ที่นี่

ดังนั้นข้ายังคงยืนอยู่ที่เดิม ในขณะที่ผู้คนที่อยู่ภายในร้าน ต่างพากันแตกตื่น กรีดร้อง วิ่งหนีกันกระเจิง ชายหนุ่มที่รอดชีวิตคนนั้นก็วิ่งหนีไปแล้วเช่นกัน

ชั่วครู่เดียว ร้านอาหารก็เงียบสงบลง หลังจากนั้นไม่นานเฮปเบิร์นก็กลับมา

เมื่อเธอกลับมาแล้วเห็นข้ายืนอยู่คนเดียว จึงถามอย่างสงสัยว่า : “ออสติน เป็นอะไรรึป่าว”

“เมื่อข้าจ้องมองเธอ ในใจก็เกิดความรู้สึกพิเศษบางอย่าง : “เฮปเบิร์น ดูเหมือนว่าฉัน ได้ทำเรื่องผิดพลาดไปแล้ว”

ในเวลานี้ มีเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างนอก

มีทหารกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาจากข้างนอก ตอนนี้ข้าได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เฮปเบิร์นฟังไปแล้ว

เฮปเบิร์นไม่ได้โกรธหรือว่ากล่าวข้า เธอเพียงแค่โอบกอดข้าเอาไว้ในอ้อมแขนของเธอ และเนื่องจากข้ามีความสูงไล่เลี่ยกันกับเธอ จึงไม่บ่อยนักที่เธอจะแสดงออกเช่นนี้

“มันเป็นความผิดของฉันทั้งหมด มันเป็นความผิดของฉันทั้งหมด ไม่ใช่ความผิดของเจ้า” เสียงร้องไห้ของเธอ ปนเสียงสะอื้นเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเจอเหตุการณ์เช่นนี้

“ฆ่าคนกลางถนน จับมัน!” ทหารที่สวมชุดเกราะเข้าล้อมรอบ อย่างรวดเร็ว

ข้าผละออกจากอ้อมแขนของเฮปเบิร์น และความกังวลในใจก็มลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง ขณะนี้เมื่อสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามจากทหารรอบๆ เหล่านี้ สิ่งเดียวที่ปรากฏในใจคือการปกป้องเธอ

เปลวไฟลุกโชนกลายเป็นกำแพงไฟอยู่เบื้องหน้า ข้าพูดอย่างเคร่งขรึมว่า : “ถ้าไม่อยากตายก็อย่าเข้ามา”

“นักเวทย์เหรอ? เจ้า เจ้าคือนักเวทย์เหรอ?”

“ทหารที่เป็นหัวหน้าตกตะลึงในฉับพลัน และทหารทั้งหมดก็ถอยหลังไปโดยทันทีเช่นกัน

ทัศนคติของหัวหน้าทหารเปลี่ยนไปอย่างมากในทันที: “ท่านนักเวทย์ เกิดอะไรขึ้น? ข้าคิดว่านี่อาจเป็นความเข้าใจผิด”

จู่ๆ ข้าก็ตระหนักได้ว่าสถานะของนักเวทย์ในจักรวรรดิสมันนั้นสูงส่งขนาดไหน และเมื่อข้าเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ให้พวกเขาฟัง หัวหน้าทหารก็กล่าวว่า พวกพลเรือนที่ทำให้นักเวทย์ขุ่นเคืองสมควรตาย จากนั้นเขาหันไปมองเฮปเบิร์นด้วยความเคารพแล้วก็จากไป

นี่มันง่ายขนาดนี้เลยเหรอ มีคนตายไปตั้งหลายคนเลยนะ!

ถึงแม้ปัญหาจะได้รับการแก้ไขแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมข้าเกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา เฮปเบิร์นจับมือข้าไว้ พลางพูดปลอบโยนด้วยความอบอุ่นของเธอ และแทบจะไม่มีการตำหนิอะไรข้าเลย

ภายในร้านอาหาร

“ท่านแม่ทัพ จะปล่อยพวกเขาไปจริงๆ เหรอ? ถึงยังไงก็มีคนเสียชีวิตไปตั้งมากมาย”

“นี่เจ้าไม่รู้จริงๆเหรอ? ไม่เห็นหรือว่าชายหนุ่มคนนั้นปล่อยเวทมนตร์ออกมาได้อย่างไร? เทคนิคกำแพงไฟนั้นเกิดขึ้นทันที นั่นเป็นเวทมนตร์ระดับสี่ การที่ปล่อยเวทมนตร์ระดับสี่ได้ในทันที เจ้ารู้ไหมว่ามันคืออะไร? นั่นเป็นสิ่งที่ปรมาจารย์จอมเวท ระดับเจ็ดเท่านั้นที่สามารถทำได้

ด้วยอายุของเขา การจะไปถึงระดับที่เจ็ดนั้นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน นั่นหมายความว่าเขาต้องมีอุปกรณ์เวทมนตร์ที่ทรงพลัง เขาสามารถครอบครองอุปกรณ์เวทมนตร์ที่ทรงพลังตั้งแต่อายุยังน้อย แสดงว่าต้องมีขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลังของเขาอย่างแน่นอน พิธีใหญ่กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว และพวกเขาอาจเป็นทายาทของบุคคลสำคัญบางคน รีบๆ เก็บกวาดเรื่องทั้งหมดนี้ให้เร็วเถอะ

หนึ่งชั่วโมงผ่านไป

“อะไรนะ? จุนเอ๋อตายแล้ว? เป็นไปได้ยังไง? แล้วตายได้ยังไง ให้ตายเถอะ! ใครฆ่าจุนเอ๋อ!”

“เขาเป็นเด็กหนุ่ม เขา เขาใช้วงแหวนไฟปรปักษ์”

“จุนเอ๋อตายแล้ว แต่ทำไมเจ้ายังไม่ตายล่ะ จุนเอ๋อ จุนเอ๋อลูกชายคนเดียวของข้า! ไอ้สารเลว! ใครฆ่าจุนเอ๋อ? !”

เมื่อกลับไปที่หอคอยมนตรา ข้าก็รู้สึกกลัดกลุ้มกังวลใจอยู่ตลอดเวลา ส่วนเฮปเบิร์นก็คอยนั่งอยู่ข้างๆ เป็นเพื่อนข้า

“เป็นอะไร? ยังคิดเรื่องนั้นอยู่เหรอ? ทั้งหมดเป็นความผิดฉันเองที่ไม่นำเงินไปด้วย” ขณะที่พูด เธอก็บีบหน้าข้าเบาๆ

รู้สึกไม่ชินกับวิธีการบีบเบาๆ ของเธอ เพราะมันทำให้คันยุบยิบ

“ฉันคิดไม่ถึงว่าคนพวกนั้นจะเปราะบางขนาดนี้ ความจริงไม่ได้อยากจะฆ่าพวกเขา แค่อยากจะผลักพวกเขาให้กระเด็นออกไป แต่ท้ายที่สุดฉันก็ฆ่าคนไปโดยไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นเรื่องจริงเหรอ ที่นักเวทย์ไม่มีความผิดหากฆ่าคน?”

เฮปเบิร์นถอนหายใจแผ่วเบา และพูดว่า: “นักเวทย์จะได้รับการละเว้นโทษจากความผิดอาชญากรรมมากมาย นี่คือกฎของอาณาจักรสมันของเรา”

“แต่นี่มันจะยุติธรรมเหรอ?” ข้าถามเธอ

“มันไม่ยุติธรรม แต่อย่างไรเสีย จักรวรรดิก็จำเป็นต้องพึ่งพาพลังของนักเวทย์”

เฮปเบิร์นกอดไหล่ของข้าแล้วพูดว่า “ออสติน สัญญาได้ไหม ว่าเธอจะไม่รังแกคนที่อ่อนแออีกในอนาคต อย่างน้อยก็จะไม่ใช้เวทมนตร์กับคนธรรมดาอีกต่อไป ตกลงไหม?”

ถึงแม้เราจะมีส่วนในการได้รับการละเว้นโทษ แต่ก็หวังว่าเธอจะยึดมั่นในหัวใจ ส่วนเรื่องนี้ให้ฉันจัดการเอง เดี๋ยวจะขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ และขอให้เขาชดเชยให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิต”

“ตกลง”

ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่ความรู้สึกไม่สบายใจของข้าก็ยังคงอยู่

เฮปเบิร์นดูเหมือนจะได้รับผลกระทบจากอารมณ์ของข้า และไม่ได้พูดอะไรอีกกระทั่งถึงวันรุ่งขึ้น

หลังจากที่จู้หรงได้รับรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์จากเฮปเบิร์น เขาก็บอกว่าจะจัดการเรื่องนี้เอง และหลังจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ทำให้ข้าเข้าใจโลกนี้มากขึ้นเล็กน้อย และความรังเกียจก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน

เทศกาลเฉลิมฉลองจัดขึ้นตามกำหนด ภายในจัตุรัสขนาดใหญ่หน้าหอคอยมนตรา ในตอนเช้า มีทหารอยู่ล้อมรอบจัตุรัส มีการจัดเตรียมการต่างๆ มากมาย และบนพื้นแบ่งออกเป็นพื้นที่ต่างๆ ตามสีที่ต่างกัน

ตรงกลางจัตุรัสมีกลุ่มดาวหกแฉกขนาดใหญ่ โดยมีแท่นสูงห้อยอยู่เหนือกลุ่มดาวหกแฉก รอบดาวหกแฉก มีองค์ประกอบที่แสดงถึงคุณลักษณะเจ็ดประการ ได้แก่ น้ำ ไฟ ดิน ลม แสงสว่าง ความมืด และมิติ

เมื่อเรามาถึง ภายในจัตุรัสก็เต็มไปด้วยนักเวทย์ มีนักเวทย์อยู่ไม่น้อยเลย พวกเขาทั้งหมดสวมชุดคลุมเวทย์มนตร์หลวมๆ ทำให้รูปร่างหน้าตาของพวกเขา ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนนัก


Share:

👨‍🏫นักแต่งนิยายจีน

A B C D E F G H I
J K L M N O P Q R
S T U V W X Y Z

คลังบทความของบล็อก

บทความล่าสุด

Heavenly Jewel Change : โจวเหว่ยชิง